ASTVผู้จัดการรายวัน-นับตั้งแต่วินาทีที่คนเรือนแสนแห่แหนไปรวมตัวกันที่ถนนราชดำเนินเมื่อปลายปี 2553 เพื่อร่วมงาน "ถนนแห่งประวัติศาสตร์ สตรีท ออฟ คิง ราชดำเนิน แบงค็อก 2010" สัมผัสความแรงของรถ ฟอร์มูลา วัน จากค่าย เรด บูลล์ เรซซิง ภายใต้การขับของ มาร์ค เว็บเบอร์ ชาวออสซี ก็เหมือนเป็นการจุดประกายอยากให้ไทยได้เข้าไปอยู่ในปฎิทินการแข่งขัน เอฟวัน ซึ่งมีการตั้งธงให้เกิดขึ้นจริงภายในปี 2014 แต่ภาพที่ปรากฎตอนนี้เหมือนว่าจะเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว อาจจะเป็นเป้าหมายที่แคบเกินไปเมื่อเทียบกับงบประมาณที่ลงทุน รวมถึงลืมมองเครื่องหมายคำถามตัวเบ้อเร่อว่าหลังจากนั้นแล้วเราจะใช้สิ่งที่เม็ดเงินเนรมิตขึ้นมานั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ด้านใดได้อีกบ้าง
หลังจากศึก "สิงคโปร์ กรังด์ปรีซ์" ณ สนาม มารีนา เบย์ สตรีท เซอร์กิต ประเทศสิงคโปร์ วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายนนี้สิ้นสุดลงน่าจะทราบความชัดเจนมากขึ้น เพราะ กนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย เหินฟ้าไปเพื่อเจรจาขอสิทธิ์การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก หรือ ฟอร์มูลา วัน ในไทย กับ เบอร์นี เอ็คเคิลสโตน ผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ ตามที่ ชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มอบหมายให้เร่งเครื่องเต็มสูบ เบื้องต้นวางไว้สัญญา 3 ปีทุ่มงบ 5,000 ล้านบาทและจะเป็นแบบสตรีทเซอร์กิตรวมถึงไนต์เรซสนามที่ 2 ต่อจากแดนลอดช่อง เหลือเพียงแค่รอลายเซ็นจากขาใหญ่ประจศึก เอฟวัน เท่านั้น
วัชระ กรรณิการ โฆษกประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยว่าชื่ออย่างไม่เป็นทางการของการแข่งขันครั้งนี้น่าจะเป็น "ไทยแลนด์ กรังด์ ปรีซ์" และมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เนื่องจาก เอ็คเคิลสโตน มีความประทับใจประเทศไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยเชื่อว่าน่าจะประสบความสำเร็จเฉกเช่นเดียวกับ ออสเตรเลีย, โมนาโก และ สิงคโปร์ ส่วนสถานที่ประลองความเร็วตัวเลือกแรกคือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และ ชลบุรี ตามลำดับ "ตอนนี้เรากำลังมองหาสถานที่สำหรับใช้แข่งขัน แน่นอนว่าคงเล็งไปที่กรุงเทพฯ เป็นหลัก และมีความคิดที่จะจัดแข่งแบบไนท์เรซ หรือแข่งในเวลากลางคืนเช่นเดียวกับสิงคโปร์ ซึ่งผมมองว่าหากได้ทำการแข่งขันช่วงค่ำและมีการเปิดไฟรอบๆสนาม คงเป็นภาพที่สวยงามและน่าประทับใจไม่น้อย"
แน่นอนว่าประเด็นหลักของ "ไทยแลนด์ กรังด์ ปรีซ์" คือการดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ อย่างไรก็ตาม สนธยา คุณปลื้ม ประธานคณะกรรมการกีฬาราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย ในประพระบรมราชูปถัมภ์ (ร.ย.ส.ท.) และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคนแรกของประเทศ กลับไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ เนื่องจากมองว่าทุกฝ่ายกำลังมองไปที่ความสำเร็จเพียงช่วงระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น
สนธยา อธิบายว่า "แน่นอนว่าการจัดการแข่งขันเอฟวันในเมืองไทย ถือเป็นเรื่องดี และเป็นสิ่งที่คอกีฬาความเร็วในบ้านเราต้องการให้เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว เพียงแต่ผมมองว่าเราอาจกำลังหลงทาง และมุ่งหวังเพียงแค่ประโยชน์จากการท่องเที่ยวในประเทศเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผิดกับประเทศอื่นๆที่เขามองว่าการจัดการแข่งขันเอฟวัน ให้อะไรที่มากกว่าการท่องเที่ยวพอสมควร เท่าที่ผมได้เดินทางไปชมการแข่งขันเอฟวันตามสถานที่ต่างๆ และได้มีการพูดคุยกับฝ่ายจัดการแข่งขัน จะพบว่า พวกเขาไม่ได้ใช้เอฟวันแค่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว แต่ยังใช้ในแง่ของการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศด้วยว่า เทคโนโลยีที่ทีมนักขับเอฟวันนำมาใช้ในแต่ละปีนั้น สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับวงการยานยนต์บ้านเขาในด้านใดบ้าง รวมถึงการปรับปรุงถนนหนทางต่างๆในเมือง โดยเฉพาะสิงคโปร์ ที่ใช้หลักการนี้มาโดยตลอด ซึ่งถือเป็นแบบอย่างที่ดีหากประเทศใดสนใจยื่นเสนอตัวเป็นเจ้าภาพเอฟวันในอนาคต”
นอกจากนี้เรื่องของสนามเป็นประเด็นที่จะมองข้ามไม่ได้ หากจัดใจกลางกรุงเทพฯ จะต้องเตรียมเงินชดเชยให้กับประชาชนที่ต้องใช้พื้นที่นั้นๆ ทำมาหากิน เนื่องจากต้องปิดและเตรียมตัวกันก่อนแข่งเกือบเดือน รวมถึงต่างจังหวัดที่ต้องสร้างสนามใหม่ เมื่อว่างเว้นจากการแข่งขันจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์อื่นใดได้หรือไม่และมองในแง่ลบถ้าไม่ประสบความสำเร็จจะทำอย่างไร สนธยา เผยอีกว่า “ผมมองว่าหากไทยต้องการจัดจริงๆ ไม่ว่าเป็นที่ใดก็สามารถเนรมิตรเป็นสนามแข่งได้ เพียงแต่อยากฝากให้มองถึงอนาคตด้วยว่าเมื่อจบการแข่งขันแล้ว เราจะใช้สนามให้เกิดประโยชน์ในด้านใดบ้าง ซึ่งผมหวังว่าเราจะไม่ลืมในจุดนี้”
ทั้งหมดนี้ถือเป็นข้อคิดสำคัญที่ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ฝากเตือนไปยังผู้เกี่ยวข้องให้คำนึงถึงการใช้การแข่งขัน เอฟวัน ให้เกิดประโยชน์ในแง่อื่นนอกจากการพัฒนาเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างเดียว เพราะขณะเดียวกัน เอคเคิลสโตน ก็พิจารณาเช่นกันว่าหากทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่วาดหวังได้ไม่คุ้มเสียก็พร้อมที่จะผละไปหาตัวเลือกจากประเทศอื่นต่อไปและเมื่อนั้น "ไทยแลนด์ กรังด์ ปรีซ์" อาจจะอยู่บนปฎิทินเพียงแค่ไม่กี่ฤดูกาลก็เป็นได้
