เอเยนซี - เสาร์ที่ 19 พ.ค.นี้ ถึงคิวนัดชิงชนะเลิศฟุตบอล ยูฟา แชมเปียนส์ลีก บรรดาเกจิมองว่า “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิก ถือไพ่เหนือกว่า กับการเล่นบ้านตัวเอง ทว่าจะประมาท “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ไม่ได้เด็ดขาด เพราะล้ม “แชมป์เก่า” บาร์เซโลนา มาแล้ว แถมหลังพิงฝาต้องชนะเพื่อกลับมาเล่นถ้วยใบนี้อีกครั้งปีหน้า ก่อนถึงวันนั้น MGR SPORT นำบทวิเคราะห์โอกาสของทั้งสองทีมจาก “บลีเชอร์ รีพอร์ท” มาถ่ายทอดให้ท่าผู้อ่านได้ติดตามกัน
ปัจจัยแชมป์ของบาเยิร์น มิวนิก (เยอรมนี)
อัลลิอันซ์ อารีนา - เล่นในบ้านตนเองได้เปรียบอย่างยิ่งกับการเถลิงแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 แม้จะได้ตั๋วเท่ากันฝั่งละ 17,500 ใบ แต่ความคุ้นเคยคงเทมาทางฝั่ง บาเยิร์น มากกว่า ยิ่งเหลือบมองสถิติแล้ว ยังเป็นใจให้ “เสือใต้” เพราะ 3 หนที่สโมสรที่ผ่านเข้าไปชิงบนสนามตนเอง กวาดแชมป์ได้ถึงสองหน คือ รีล มาดริด ปี 1957 และ อินเตอร์ มิลาน ปี 1965 ส่วน โรมา ปี 1984 นั้นผิดหวัง
เชลซี พิการ - แม้ว่า บาเยิร์น จะมีนักเตะโดนแบนถึง 3 ราย แต่ถ้าเทียบกับฝั่ง เชลซี ถือว่าเสียหายกว่ามี 4 คนที่หมดสิทธิ์ลงเล่นเช่นกัน คือ จอห์น เทอร์รี, บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, รามิเรส และ ราอูล เมเรเลส และยังต้องลุ้นอาการบาดเจ็บของ ดาวิด ลุยซ์ กับ แกรี เคฮิลล์ เรียกได้ว่า อาจขาดเซนเตอร์ฮาล์ฟอาชีพถึง 4 คน จึงเป็นโอกาสดีสำหรับเจ้าถิ่นที่จะหาช่องเจาะทะลุทะลวงเข้าไป
สถิติฟ้อง - ยังมีอีกหนึ่งตัวเลขอันน่าสนใจที่บ่งบอกว่า บาเยิร์น จะเป็นแชมป์ปีนี้ เพราะปี 1999 ที่แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2 ปีให้หลัง สามารถกลับมาเป็นแชมป์ด้วยการชนะจุดโทษ บาเลนเซีย ดังนั้น เมื่อปี 2010 “เสือใต้” แพ้ อินเตอร์ มิลาน 0-2 ก็ประจวบเหมาะ 2 ปีให้หลังเข้าชิงอีกครั้ง ถ้าเป็นไปตามนั้นก็จะคว่ำ เชลซี ได้สำเร็จถือว่าตัวเลขเวียนมาบรรจบครบ 12 ปี พอดี
ปัจจัยแชมป์ของเชลซี (อังกฤษ)
หลังบ้านเสือใต้ - ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกมรับเป็นปัญหาใหญ่หลวงของ บาเยิร์น จากร่องรอยความเสียหายที่โดน โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ กระหน่ำแพ้ไป 2-5 นัดชิง เดเอฟเบ โพคาล เมื่อ 7 วันก่อน และยิ่งตอกย้ำตรงจุดนี้กับการขาด โฮลเกอร์ บาดสตูเบอร์ เดวิด อลาบา และ หลุยส์ กุสตาโว ที่ติดโทษแบน ทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามตัวเบ้อเร่อกับ จุปป์ ไฮย์เกส ว่า จะวางค่ายกลรูปแบบใด และส่งใครเพื่อจับตาย ดิดิเยร์ ดร็อกบา หอกตัวอันตรายของ เชลซี รวมถึง ฮวน มาตา และ แฟรงค์ แลมพาร์ด 2 เพลย์เมกเกอร์
หลังพิงฝา - ดิ มัตเตโอ ตัดสินใจ “ทุบหม้อข้าว” ทิ้งโอกาสคว้า “ท็อปโฟร์” พรีเมียร์ลีก ด้วยการโรเตชันผู้เล่นสำรองลงเล่นจนจบเพียงอันดับ 6 และไปตายเอาดาบหน้าเน้นนัดชิงยุโรปที่จำเป็นต้องคว้าแชมป์ เพื่อกลับมาเล่นถ้วยใบนี้อีกครั้งฤดูกาลหน้าในฐานะแชมป์เก่า แน่นอนว่าจะเหมือนเป็นสิ่งที่กระตุ้นนักเตะทุกคนให้วิ่งสู้ฟัด เพื่อทำสิ่งนี้ให้สำเร็จตามเป้าหมาย
โอกาสสุดท้าย - แข้งหลายคนของ เชลซี เคยมีประสบการณ์อกหักจากนัดชิงยุโรปปี 2008 ที่แพ้จุดโทษ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดังนั้น ด้วยอายุอานามที่ปาเข้าไปเลข 3 นำหน้าของผู้เล่นอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด จอห์น เทอร์รี, ดิดิเยร์ ดร็อกบา และ ฟลอร็องต์ มาลูดา จึงถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้สัมผัสแชมป์ใบนี้ ก่อนที่อาจจะต้องแยกย้ายกันไปตามทางในช่วงซัมเมอร์นี้
เพื่อตำแหน่งกุนซือ - แชมป์ เอฟเอ คัพ ใบเดียวอาจไม่พอง้างใจ โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซียเจ้าของทีม เชลซี ดังนั้น แชมป์ยุโรปสมัยแรกจึงเป็นข้อแม้สุดท้ายที่จะทำให้ ดิ มัตเตโอ ได้งานถาวรต่อไปในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ หลังเข้ามารับงานชั่วคราวแทน อังเดร บียาส-โบอาส ไม่เช่นนั้นซัมเมอร์นี้ “เสี่ยหมี” คงต้องมองหากุนซือไฮ-โพรไฟล์ที่มีบารมีเข้ามากุมบังเหียนแทน
ปัจจัยแชมป์ของบาเยิร์น มิวนิก (เยอรมนี)
อัลลิอันซ์ อารีนา - เล่นในบ้านตนเองได้เปรียบอย่างยิ่งกับการเถลิงแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 แม้จะได้ตั๋วเท่ากันฝั่งละ 17,500 ใบ แต่ความคุ้นเคยคงเทมาทางฝั่ง บาเยิร์น มากกว่า ยิ่งเหลือบมองสถิติแล้ว ยังเป็นใจให้ “เสือใต้” เพราะ 3 หนที่สโมสรที่ผ่านเข้าไปชิงบนสนามตนเอง กวาดแชมป์ได้ถึงสองหน คือ รีล มาดริด ปี 1957 และ อินเตอร์ มิลาน ปี 1965 ส่วน โรมา ปี 1984 นั้นผิดหวัง
เชลซี พิการ - แม้ว่า บาเยิร์น จะมีนักเตะโดนแบนถึง 3 ราย แต่ถ้าเทียบกับฝั่ง เชลซี ถือว่าเสียหายกว่ามี 4 คนที่หมดสิทธิ์ลงเล่นเช่นกัน คือ จอห์น เทอร์รี, บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, รามิเรส และ ราอูล เมเรเลส และยังต้องลุ้นอาการบาดเจ็บของ ดาวิด ลุยซ์ กับ แกรี เคฮิลล์ เรียกได้ว่า อาจขาดเซนเตอร์ฮาล์ฟอาชีพถึง 4 คน จึงเป็นโอกาสดีสำหรับเจ้าถิ่นที่จะหาช่องเจาะทะลุทะลวงเข้าไป
สถิติฟ้อง - ยังมีอีกหนึ่งตัวเลขอันน่าสนใจที่บ่งบอกว่า บาเยิร์น จะเป็นแชมป์ปีนี้ เพราะปี 1999 ที่แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2 ปีให้หลัง สามารถกลับมาเป็นแชมป์ด้วยการชนะจุดโทษ บาเลนเซีย ดังนั้น เมื่อปี 2010 “เสือใต้” แพ้ อินเตอร์ มิลาน 0-2 ก็ประจวบเหมาะ 2 ปีให้หลังเข้าชิงอีกครั้ง ถ้าเป็นไปตามนั้นก็จะคว่ำ เชลซี ได้สำเร็จถือว่าตัวเลขเวียนมาบรรจบครบ 12 ปี พอดี
ปัจจัยแชมป์ของเชลซี (อังกฤษ)
หลังบ้านเสือใต้ - ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกมรับเป็นปัญหาใหญ่หลวงของ บาเยิร์น จากร่องรอยความเสียหายที่โดน โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ กระหน่ำแพ้ไป 2-5 นัดชิง เดเอฟเบ โพคาล เมื่อ 7 วันก่อน และยิ่งตอกย้ำตรงจุดนี้กับการขาด โฮลเกอร์ บาดสตูเบอร์ เดวิด อลาบา และ หลุยส์ กุสตาโว ที่ติดโทษแบน ทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามตัวเบ้อเร่อกับ จุปป์ ไฮย์เกส ว่า จะวางค่ายกลรูปแบบใด และส่งใครเพื่อจับตาย ดิดิเยร์ ดร็อกบา หอกตัวอันตรายของ เชลซี รวมถึง ฮวน มาตา และ แฟรงค์ แลมพาร์ด 2 เพลย์เมกเกอร์
หลังพิงฝา - ดิ มัตเตโอ ตัดสินใจ “ทุบหม้อข้าว” ทิ้งโอกาสคว้า “ท็อปโฟร์” พรีเมียร์ลีก ด้วยการโรเตชันผู้เล่นสำรองลงเล่นจนจบเพียงอันดับ 6 และไปตายเอาดาบหน้าเน้นนัดชิงยุโรปที่จำเป็นต้องคว้าแชมป์ เพื่อกลับมาเล่นถ้วยใบนี้อีกครั้งฤดูกาลหน้าในฐานะแชมป์เก่า แน่นอนว่าจะเหมือนเป็นสิ่งที่กระตุ้นนักเตะทุกคนให้วิ่งสู้ฟัด เพื่อทำสิ่งนี้ให้สำเร็จตามเป้าหมาย
โอกาสสุดท้าย - แข้งหลายคนของ เชลซี เคยมีประสบการณ์อกหักจากนัดชิงยุโรปปี 2008 ที่แพ้จุดโทษ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดังนั้น ด้วยอายุอานามที่ปาเข้าไปเลข 3 นำหน้าของผู้เล่นอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด จอห์น เทอร์รี, ดิดิเยร์ ดร็อกบา และ ฟลอร็องต์ มาลูดา จึงถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้สัมผัสแชมป์ใบนี้ ก่อนที่อาจจะต้องแยกย้ายกันไปตามทางในช่วงซัมเมอร์นี้
เพื่อตำแหน่งกุนซือ - แชมป์ เอฟเอ คัพ ใบเดียวอาจไม่พอง้างใจ โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซียเจ้าของทีม เชลซี ดังนั้น แชมป์ยุโรปสมัยแรกจึงเป็นข้อแม้สุดท้ายที่จะทำให้ ดิ มัตเตโอ ได้งานถาวรต่อไปในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ หลังเข้ามารับงานชั่วคราวแทน อังเดร บียาส-โบอาส ไม่เช่นนั้นซัมเมอร์นี้ “เสี่ยหมี” คงต้องมองหากุนซือไฮ-โพรไฟล์ที่มีบารมีเข้ามากุมบังเหียนแทน