เอเยนซี-ฟุตบอลถ้วยเก่าแก่ที่สุดในโลก เอฟเอ คัพ ครั้งที่ 131 ได้ฤกษ์ชิงชัยวันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคมนี้ เวลา 5 ทุ่ม ณ เวมบลีย์ สเตเดียม ดีกรีความมันเรียกได้ว่า พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง เพราะเป็นการเจอกันของยักษ์ชนยักษ์รอบ 5 ปี เชลซี ปะทะ ลิเวอร์พูล “2 สิงห์บอลถ้วย” ที่ปีนี้ทำผลงานได้ดีเหลือเกิน
4 ปีที่ผ่านมา เอฟเอ คัพ มี “แจ็ค” ผ่านเข้าสู่นัดชิงโดยตลอด แต่ไม่สามารถสร้างตำนานล้มยักษ์ได้สำเร็จ แชมป์ตกเป็นของ เชลซี ถึง 2 สมัย ส่วนฤดูกาลที่แล้ว แมนเชสเตอร์ ซิตี เฉือน สโต๊ก ซิตี 1-0 ปีนี้เป็นการเจอกันในนัดชิงครั้งแรกของ “สิงห์บลู” และ ลิเวอร์พูล หากชัยชนะเป็นของฝ่ายแรกก็จะขึ้นมาทาบแชมป์ 7 สมัยเท่ากันพอดี
เส้นทางของทั้งคู่ก่อนตบเท้าสู่ เวมบลีย์ ถือว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรง เชลซี ที่เข้าชิง ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ไปแล้ว ผ่านศึกหนักเพียงแค่รอบรองชนะเลิศ คือ เอาชนะ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 5-1 ด้าน ลิเวอร์พูล ที่ได้แชมป์ คาร์ลิง คัพ แล้วใบหนึ่ง ผ่าน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รอบ 3 ก่อนจะเฉือน เอฟเวอร์ตัน 2-1 รอบตัดเชือก
เชลซี ภายใต้การกุมบังเหียนของ โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ กุนซือชั่วคราวที่เข้ามาแทน อังเดร บียาส-โบอาส ทำผลงานดีเกินคาด จนมีกระแสว่า หาก โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ไม่แต่งตั้งแบบถาวร ก็ถือว่าใจร้ายมาก ส่อแววตามรอย 2 นายใหญ่ขัดตาทัพ อย่าง อัฟราม แกรนท์ ที่เข้าชิง ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ปี 2008 ก่อนจะแพ้จุดโทษ แมนฯยู และ กุส ฮิดดิงก์ ที่รับงาน 3 เดือนก็ได้ถ้วย เอฟเอ คัพ มาประดับตู้โชว์ปี 2009
ดิ มัตเตโอ เพิ่งทำ เชลซี พ่ายคาถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ต่อ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 0-2 เมื่อวันพุธที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา จนส่อแวววืดท็อปโฟร์เมื่อรั้งอันดับ 6 ตาม สเปอร์ส 4 แต้ม ขณะที่เหลืออีก 2 นัด ต้องไปลุ้นคว้าแชมป์ยุโรปให้ได้สถานการณ์เดียว เพื่อกลับไปในฐานะแชมป์เก่า ซึ่งก็อาจจะกระทบโควตาของทีมอื่น
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้ต้องลงเล่น 6 เกม ภายใน 17 วัน แต่ก็พยายามผลักดันลูกทีมเพื่องัดผลงานดีที่สุด วันเสาร์นี้ถือเป็นเกมใหญ่ที่จะต้องทำเช่นนั้นอีกครั้ง เรากำลังใจจดจ่อที่ต้องชิงกับ ลิเวอร์พูล เอฟเอ คัพ ถือเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ยอดเยี่ยม และจะเป็นแรงกระตุ้นชั้นดี” กุนซือชาวอิตาเลียน เผย
สำหรับนัดชิง เฟร์นานโด ตอร์เรส ดาวยิงทีมชาติสเปน ที่ถือเป็นไฮไลต์ของงานได้พบทีมเก่า ลิเวอร์พูล น่าจะออกสตาร์ทที่ม้านั่งสำรองหลังได้เป็น 11 ตัวจริง 2 นัดติด และคืนฟอร์มทำแฮตทริกเกมลีกที่ถล่ม ควีนสปาร์ก เรนเจอร์ส 6-1 โอกาสน่าจะเป็น ดิดิเยร์ ดร็อกบา แทน ส่วนอีกคน ก็คือ ราอูล เมเรเลส ห้องเครื่องทีมชาติโปรตุเกส ที่จะได้เจอเพื่อนๆ ที่ แอนฟิลด์ ด้วย
ฟาก ลิเวอร์พูล ดัลกลิช จำเป็นต้องคว้าดับเบิลแชมป์ เพื่อปลอบใจผลงานเวที พรีเมียร์ชิป ที่เมื่อกลางสัปดาห์แพ้คาถิ่น แอนฟิลด์ ต่อ ฟูแลม 0-1 จนเกาะอันดับ 8 ผลงาน 8 เกมหลังสุดชนะแค่ 2 นัดเท่านั้น ที่สำคัญ แชมป์ เอฟเอ คัพ จะหมายถึงการไม่ต้องเปิดเทอมก่อนเพื่อน เนื่องจากจะได้ไปเล่นรอบแบ่งกลุ่ม ยูโรปา ลีก โดยอัตโนมัติ
ดัลกลิช มั่นใจว่า ฟอร์มห่วยแตกในลีกจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือในนัดชิง เอฟเอ คัพ แน่นอน “เกมลีกเตะกัน 38 นัด เมื่อจบตำแหน่งนั้นจะบอกถึงผลงานของคุณ แต่บอลถ้วยเตะน้อยกว่าแค่ไม่ให้ตกรอบ แชมป์จะถือเป็นสิ่งที่สุดพิเศษเสมอ เราได้ลิ้มรสถ้วย คาร์ลิง คัพ ไปแล้ว ทุกคนได้รับผลตอบแทนอันคุ้มค่า ผมคิดว่าสมควรแล้วที่มาถึงจุดนี้ ไม่รับปากว่าจะคว้าแชมป์ แต่รับปากว่าจะทุ่มทุกอย่างเพื่อเอาชนะ เชลซี ให้ได้”
สำหรับ ลิเวอร์พูล จะได้แข้งที่พัก หลุยส์ ซัวเรซ สตีเวน เจอร์ราร์ด และ โฆเซ เอ็นริเก คืนทัพทั้งหมด ทว่า คงทำให้รูปเกมดีขึ้นไม่มาก เพราะแม้จะคว้าแชมป์ คาร์ลิง คัพ แต่ผลงานโดยรวมไม่สู้ดี พึ่งกองหน้าทีมชาติอุรุกวัยมากเกินไป จังหวะเข้าทำแต่ละทีมค่อนข้างฉาบฉวยผิดกับ เชลซี ที่เป็นระบบและมีทีเด็ดมากกว่าจึงน่าจะคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ไปครองได้