ศึกชี้ชะตา “บุรีรัมย์” อยู่หรือไป “เอเอฟซี”

ASTV ผู้จัดการรายวัน - บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ประเดิมเส้นทางในศึกชิงแชมป์สโมสรเอเชีย “เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก” ปีแรกได้อย่างสวยหรู ด้วยการเก็บชัยเหนือ คาชิวะ เรย์โซล และ กวางโจว เอเวอร์แกรนด์ สองทีมแกร่งในสองนัดแรกของรอบแบ่งกลุ่ม แน่นอนว่า ชัยชนะที่เกิดขึ้นย่อมสร้างความมั่นใจให้แก่ เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร และแฟนบอล พร้อมวาดฝันว่า ทีมจะผ่านเข้ารอบต่อไปได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตาม ความพ่ายแพ้ 3 นัดหลังสุด ทำให้ “ปราสาทสายฟ้า” ต้องกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง

สถานการณ์ของแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกในกลุ่มเอช ที่ขึ้นชื่อเป็น “กรุ๊ป ออฟ เดธ” ของรอบนี้ เพราะนำแชมป์ลีกในประเทศมาอยู่กลุ่มเดียวกัน บุรีรัมย์ รั้งอันดับบ๊วยหลังมีเพียง 6 แต้มจากสองนัดแรกเท่านั้น แม้ 3 นัดที่ผ่านมาจะสู้กับ ชนบุค ฮุนได มอเตอร์ส จากเกาหลีใต้ และสองทีมข้างต้นได้สูสี แต่สุดท้ายมักเสียประตูในช่วงสำคัญเสมอ ซึ่งการไร้แต้มติดมือย่อมถือเป็นเรื่องเสียหาย เพราะเกมนัดสุดท้าย บุรีรัมย์ ที่จะเปิดบ้านต้อนรับ กวางโจว เอเวอร์แกรนด์ “แชมป์เซราะกราว” ไม่มีทางเลือกอื่นต้องเก็บ 3 แต้มให้ได้สถานเดียว เพื่อตีตั๋วเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย

โดยก่อนเกมนัดสำคัญจะเริ่มในวันอังคารที่ 15 พ.ค.นี้ อรรถพล ปุษปาคม กุนซือของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แย้มข่าวดีถึงความพร้อมล่าสุดของทีมว่า อภิเชษฐ์ พุฒตาล กองหลังกัปตันทีม จะกลับมาประจำการในแนวรับอีกครั้งหลังหายเจ็บกล้ามเนื้อขา ซึ่ง “เจ้าเปิ้ล” จะจับคู่กับ ประทุม ชูทอง ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แทนที่ของ เอ็ควัลลา เฮอร์มัน ที่โดนใบแดงจากนัดที่แล้ว ขณะที่ผู้เล่นที่มีปัญหาบาดเจ็บมีแค่ อัสการ์ จาดิเกรอฟ กองกลางชาวอุซเบกิสถานที่เจ็บส้นเท้าเท่านั้น ส่วนคนอื่นอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมลงสนามต้อนรับอาคันตุกะจากแดนมังกรทั้งหมด รวมถึง “ดูโอแฟรงค์” แฟรงค์ โอฮานซา และ แฟรงค์ อาชีมปง สองขุนศึกตัวเก่งที่พร้อมลงยิงประตูคู่แข่งในเกมดังกล่าวอีกด้วย

ขณะที่ กวางโจว เอเวอร์แกรนด์ จะไม่มี ดาริโอ คองกา กองกลางตัวเก่งชาวอาร์เจนไตน์ ที่โดนทีมสั่งแบน 9 นัด เนื่องจากมีปากเสียงกับ ลี จัง ซู กุนซือในเกมนัดล่าสุดกับ ชนบุค ฮุนได มอเตอร์ส อย่างไรก็ตาม “โค้ชแต๊ก” กำชับลูกทีมห้ามประมาทเป็นอันขาด โดยกล่าวว่า “ผมเชื่อว่า พวกเขายังเป็นทีมที่แข็งแกร่งและประมาทไม่ได้ เพราะจุดเด่นของทีมเยือนนั้นอยู่ที่เกมริมเส้น ที่พร้อมบุกขึ้นมาเจาะแนวรับของเราที่ถือเป็นจุดอ่อนในช่วงระยะหลัง เพื่อทำประตูได้ตลอดเวลา แต่เรายืนยันว่า จะไม่เป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียวแน่นอน เพราะเป้าหมายของเราคือเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่ผ่านมาเรามีเวลาเตรียมทีมพอสมควรเพราะไม่ได้เล่นเกมลีกเมื่อสัปดาห์ก่อน ดังนั้น เราจะต้องทำผลงานให้ดีที่สุดเพื่อหยิบตั๋วเข้ารอบใบสุดท้ายมาฝากแฟนๆให้ได้”

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าทีมจะได้ผ่านเข้ารอบต่อไปหรือไม่ “บิ๊กเน” เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร ก็ได้วางแผนการณ์ของทีมสำหรับอนาคตไว้เป็นที่เรียบร้อย เพื่อกลับมาเล่นในรายการนี้อีกครั้ง รวมถึงยกระดับทีมขึ้นสู่ท็อปเท็นของเอเชียในปีอีก 5 ปีข้างหน้าตามเป้าหมาย โดยกล่าวว่า “หลังจากนี้ ไปเราคงมองถึงการเสริมทัพผู้เล่นต่างชาติฝีเท้าดีรายใหม่ แทนที่ผู้เล่นคนเก่าที่ทำผลงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งนักเตะที่ผมต้องการไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงมากนัก ขอแค่ฝีเท้าดีกว่าคนเดิมก็พอ เพราะที่ผ่านมาคงเห็นแล้วว่า บางครั้งพวกบิ๊กเนมก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ นอกจากนั้นต้องรักษามาตรฐานผลงานในประเทศให้ดีที่สุดและป้องกันแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกให้ได้ เพื่อกลับเข้าไปเล่นถ้วยนี้อีกในฤดูกาลต่อไป”

“ที่ผ่านมา ผมคิดว่า เราทำผลงานได้ดีพอสมควรในเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก แต่หากเป้าหมายของเราอยู่ที่การเป็นทีมระดับท็อปเทนของเอเชีย ต้องยอมรับว่า ยังมีจุดบกพร่องให้แก้ไขอีกมาก อาทิ เกมรับที่หละหลวมจนเสียประตูให้คู่แข่งหลายครั้ง ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เราเห็นชัดว่ายังขาดประสบการณ์รับมือกับทีมจากต่างแดน และนักเตะชาติอื่นๆ พอสมควร รวมถึงผู้เล่นบางคนที่ซื้อมาแล้วทำเล่นไม่ได้ตามที่หวัง แต่บทเรียนปีแรกที่ได้รับจากเวทีนี้ถือว่าคุ้มค่ายิ่งนัก ซึ่งเราจะนำจุดอ่อนทั้งหมดมาปรับปรุงทีมและเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากทีมในแถบเอเชียให้มากกว่านี้ เพื่อหล่อหลอมให้ทีมเติบโตและแข็งแกร่งกว่าเดิมในอนาคต” บิ๊กเน ทิ้งท้าย

ทั้งหมดนี้คือการเปิดใจของสองแกนหลักของทีมอย่าง เนวิน และ โค้ชแต๊ก ก่อนเข้าสู่เกมชี้ชะตานัดสุดท้ายในรอบแบ่งกลุ่มกับ กวางโจว เอเวอร์แกรนด์ ในวันที่ 15 พ.ค.นี้ พร้อมกับ ชนบุค ฮุนได มอเตอร์ส และ คาชิวะ เรย์โซล ที่จะเตะในวันเดียวกัน สุดท้ายแล้ว “ปราสาทสายฟ้า” จะหยิบบทเรียนและข้อผิดพลาดทั้งหมดมาปรับแก้เพื่อคว้าชัยได้หรือไม่ แฟนบอล “เซราะกราว” และคอบอลไทยทุกคน จะได้ทราบคำตอบเมื่อสิ้นเสียงนกหวีดของผู้ตัดสินทั้งสองสนาม