"บิ๊กเน" เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร "ปราสาทสายฟ้า" บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แชมป์เก่าศึกฟุตบอลสปอนเซอร์ ไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลที่แล้ว นัดหารือกับประธานสโมสรร่วมลีกทั้ง 18 ทีม เพื่อแลกเปลี่ยนทัศนคติและร่วมกันแก้ปัญหาอย่างเป็นกลาง กระตุ้นสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยเร่งส่ง "คลับไลเซนซิง" ก่อนหมดเขต พร้อมล่ารายชื่อส่งบริษัทไทย พรีเมียร์ลีก อนุมัติ วัวชน ยูไนเต็ด กลับไปเล่นที่จังหวัดสงขลา
เมื่อวันจันทร์ที่ 12 มีนาคม 2555 ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ เวลาประมาณ 20.00 น. นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร "ปราสาทสายฟ้า" บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เจ้าของแชมป์ทุกรายการในประเทศเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ได้นัดทานข้าวหารือกับประธานสโมสรร่วมลีกทั้ง 18 ทีม เพื่อแลกเปลี่ยนทัศนคติ และร่วมกันหาแนวทางแก้ปัญหาต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นในฤดูกาลที่จะถึงนี้อย่างเป็นกลางและโปร่งใส โดยในครั้งนี้มีตัวแทนจากทางสโมสรเข้าร่วมทั้งหมด 14 ทีม ไม่ว่าจะเป็น วิทยา คุณปลื้ม และ อรรณพ สิงห์โตทอง จากฝั่ง "ฉลามชล" ชลบุรี เอฟซี, ธัญญะ วงศ์นาค จาก บีอีซี เทโรศาสน, ศุภสิน ลีลาฤทธิ์ บางกอกกล๊าส เอฟซี และอีกหลายคน ขาดเพียงจาก เอสซีจี เมืองทองฯ ยูไนเต็ด, อาร์มี่ ยูไนเต็ด, เชียงราย เอฟซี และ ทีโอที เอสซี เท่านั้น
ซึ่งนายเนวินได้กล่าวถึงการจัดงานในครั้งนี้ว่า "ที่จริงมันก็เป็นแค่การนัดกินข้าวธรรมดา ซึ่งผมได้เชิญประธานสโมสรทั้ง 18 ทีม มาร่วมรับประทานอาหารค่ำ พร้อมพูดคุยและแลกเปลี่ยนทรรศนคติกันเท่านั้น ไม่ได้คิดที่จะเป็นตัวตั้งตัวตีรวมกลุ่มกันเพื่อมีปัญหากับทางสมาคมฟุตบอลใดๆทั้งสิ้น ซึ่งพวกเราเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผลประโยชน์โดยตรงกับการแข่งขันศึกไทยลีกในครั้งนี้ จึงอยากจะร่วมกันแชร์ปัญหาและช่วยกันหาแนวทางแก้ไขเท่านั้น"
"ซึ่งการพูดคุยกันในครั้งนี้ก็มีประโยชน์ต่อทุกทีมเป็นอย่างมาก โดยประเด็นที่เราได้หารือกันเรื่องแรกคือเรื่องของการทำ "คลับไลเซนซิง" ซึ่งจะมีกำหนดส่งภายในอีก 5 เดือนนี้เท่านั้น จึงอยากจะขอให้ทางสมาคมฟุตบอลช่วยเร่งทำให้แล้วเสร็จ เพราะเกรงว่าจะไม่ทัน ซึ่งผลกระทบที่ตามถือว่าเสียหายเป็นอย่างมาก เพราะทาง เอเอฟซี จะไม่รับรองให้สโมสรที่ไม่ส่งคลับไรเซนซิงเข้าแข่งขันในฟุตบอลถ้วยเอเชียใดๆทั้งสิ้น ทั้งเอเอฟซี คัพ และ เอเอฟซี แชมเปียนลีก ต่อให้จะคว้าแชมป์ในประเทศมาครองได้ก็ตาม ซึ่งความคืบหน้าล่าสุดที่ทราบก็คือทางเอเอฟซี ได้ตีกลับเอกสารที่ทางสมาคมส่งไปเรียบร้อยแล้วเพราะว่าไม่ผ่าน จึงอยากจะกระตุ้นให้ทางสมาคมฟุตบอลช่วยเร่งดำเนินการอีกทีโดยเราจะทำหนังสือยื่นไปให้ทราบภายใน 1-2 วันนี้"
"ส่วนเรื่องต่อไปก็คือการบริหารจัดการในบริษัทไทย พรีเมียร์ลีก ซึ่งผลประโยชน์ทุกอย่างไม่ว่าจะได้หรือเสีย พวกผมที่เป็นประธานสโมสรก็ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ จึงอยากจะให้ทางบริษัทบริหารจัดการแบบลีกเมืองนอก เช่นพรีเมียร์ชิพอังกฤษ หรือกัลโช ซีรีส์ เอ อิตาลี ที่ให้ทุกสโมสรมีส่วนเข้าไปบริหาร โดยถือคนละ 1 หุ้น 1 เสียง เท่ากันทุกทีม เมื่อมีปัญหาอะไรไม่ว่าจะการขอย้ายสนาม ปัญหาผู้ตัดสิน หรือเรื่องอื่นๆ เราก็มาโหวตกันอย่างเปิดเผย โดยใช้ข้อสรุป 2ใน3 ซึ่งทุกทีมที่เข้าประชุมกันครั้งนี้ก็เห็นด้วย เพราะถือว่าเป็นกลางและเป็นประโยชน์ต่อทุกทีม และในด้านผลประโยชน์ เมื่อได้กำไรจากการถ่ายทอดสด หรือสปอนเซอร์ เราก็จะนำมาแบ่งตามสัดส่วนที่เท่าๆกัน และนั่นจะทำให้ทุกทีมมีงบประมาณมาช่วยเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปี แต่ในตอนนี้ในบ.ไทย พรีเมียร์ลีก ได้มีการแบ่งหุ้นออกเป็นยิบๆย่อย โดยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด ในสัดส่วนร้อยละ 55 ส่วนอีก18 ทีมที่เข้าร่วมแข่งขันจะถือส่วนแบ่งเท่าๆกันในอัตราร้อยละ 32 ซึ่งจะตกทีมละแค่ 1 เปอร์เซ็นต์กว่าๆเท่านั้น และที่เหลืออีกร้อยละ13 จะปล่อยขายให้กับบุคคลและนิติบุคคลที่สนใจร่วมลงทุน" ประธานปราสาทสายฟ้าร่ายยาว
บิ๊กเนยังกล่าวต่อไปอีกว่า "และถ้าได้ดำเนินการจัดการบริหารแบบในข้างต้น ปัญหาทุกอย่างก็จะโปร่งใส และได้ข้อสรุปที่ลงตัว เพราะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นผู้ลงคะแนนเอง เช่นในกรณีของทีม วัวชน ยูไนเต็ด ที่เราได้พูดคุยกันในครั้งนี้ ซึ่งทุกสโมสรที่เข้าร่วมประชุมได้เห็นพ้องกันว่า ควรจะให้กลับไปใช้สนามเหย้าที่จังหวัดสงขลาตามเดิม เพราะมีกองเชียร์อยู่แล้ว จะให้ย้ายมาที่บุรีรัมย์ทำไม และทุกทีมที่ได้ไปเยือนก็จะรู้สึกสนุกที่ได้ไปเล่นในสนามที่มีคนดูเยอะๆ โดยทางเราได้รวบรวมรายชื่อสนับสนุนเรียบร้อยแล้ว และจะยื่นให้กับทางบ.ไทยพรีเมียร์ลีก ใน 1-2 วันนี้เช่นกัน"
"ดังนั้นที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย และเป็นไปอย่างยุติธรรมโปร่งใส ผมจึงอยากที่จะให้มีการนัดหารือรับประทานอาหารและแลกเปลี่ยนทัศนคติกันอย่างนี้ไปทุกๆเดือน เดือนละ 1 ครั้ง โดยสลับกันเป็นเจ้าภาพ เรียงตามอันดับในตารางคะแนนเมื่อปีที่แล้ว ครั้งแรกนั้นเป็นบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ครั้งต่อไปก็จะเป็น ชลบุรี เอฟซี ที่จะจัดในเดือนถัดไป และที่สำคัญอยากจะขอเชิญทางสมาคมฟุตบอลและบ.ไทยพรีเมียร์ลีกเข้ามาร่วมพูดคุยด้วยกัน เพราะจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าเราไม่มีเจตนาร้ายใดๆทั้งสิ้น และจะยังมีประโยชน์ต่อทีมชาติอีกด้วยถ้าเราได้มาตกลงกันว่าจะมีการจัดการเรื่องนักเตะระหว่างทีมชาติกับสโมสรอย่างไร" เนวิน ชิดชอบ โต้โผใหญ่งานนี้กล่าว