ASTV ผู้จัดการรายวัน – ในวันพุธที่ 7 มีนาคม 55 สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะลงสนามนัดแรกของการแข่งขันฟุตบอล เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก (AFC Champions League) ของกลุ่ม เอช โดยจะลงสนามพบกับทีม คาชิวะ เรย์โซล ของญี่ปุ่น (Kashiwa Reysol) ซึ่งการชิงชัยนัดนี้เรียกได้ว่าเป็นบันไดขึ้นแรกของการก้าวไปสู่เป้าหมายที่ประธานสโมสร เนวิน ชิดชอบตั้งไว้ในระยะเวลา 5 ปีต่อจากนี้คือการพาทีม “ปราสาทสายฟ้า” ให้เป็นสโมสรฟุตบอลระดับท็อปเท็นของเอเชีย
หลังสร้างผลงานชนิดที่ต้องถูกบันทึกว่าเป็นสโมสรฟุตบอลระดับอาชีพแห่งแรกที่คว้าแชมป์ 4 รายการใหญ่มาครองได้สำเร็จภายในหนึ่งฤดูกาล อันประกอบไปด้วย ฟุตบอลสปอนเซอร์ ไทยพรีเมียร์ลีก, มูลนิธิไทยคม เอฟเอคัพ รวมไปถึง โตโยต้า ลีกคัพ รวมถึงปราบ เวกัลตะ เซ็นได ยอดทีมจากเจ-ลีก ซิวแชมป์โตโยต้า พรีเมียร์คัพ และคงไม่ใช่เรื่องเกินจริงนัก หาก ณ เวลานี้ "ปราสาทสายฟ้า" บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะประกาศว่าพวกเขาคือสโมสรฟุตบอลอาชีพอันดับหนึ่งของเมืองไทย โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งมวลหนีไม่พ้นผู้ชายที่ชื่อ เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรผู้ที่หลายสื่อในเมืองไทยนำไปเปรียบเทียบกับ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรดังในอังกฤษอย่างเชลซี
หากพลิกจุดเริ่มต้นความสำเร็จในปัจจุบันของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คงต้องย้อนเวลาไปในปีพ.ศ. 2552 เมื่อนายทุนใหญ่จากอีสานตอนล่าง เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น สโมสรบุรีรัมย์ พีอีเอ จากนั้นใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปี ทีมจากแดนอีสานใต้ก็เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วทั้งในด้านของผลงาน และ ผู้ให้ความสนับสนุนรวมไปถึงสนาม ไอ-โมบาย สเตเดียม ที่แฟนบอลกล่าวขานเป็นเสียงเดียวกันว่าบรรยากาศไม่ได้ผิดไปจากสนามฟุตบอลระดับพรีเมียร์ลีกเลยแม้แต่น้อย
เมื่อพาสโมสรก้าวเดินมาจากจุดเริ่มต้นจนถึงยอดพีระมิดแห่งความสำเร็จภายในประเทศ ก้าวต่อไปที่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ เนวิน ชิดชอบต้องการคือสถานะภาพในฐานะทีมชั้นนำแห่งเอเชีย ซึ่งเจ้าตัวได้กล่าวกับผู้สื่อข่าว MGR Sport ในการสัมภาษณ์พิเศษว่า “เป้าหมายแรกเริ่มของเราตอนก่อตั้งสโมสรคือขอเวลา 2 ปีที่จะก้าวขึ้นมาเป็นทีมอันดับ 1 ในประเทศไทย ซึ่งตอนนี้ก็ทำได้แล้ว ต้องขอขอบคุณกองเชียร์และแฟนบอลทุกคนที่ให้การสนับสนุน ถ้าไม่มีพวกเค้าเหล่านั้นสโมสรก็ไม่มีวันนี้ เพราะเราเชื่อว่านอกจากสร้างทีมให้แข็งแกร่งแล้ว จำเป็นที่จะต้องมีศรัทธาจากแฟนบอลช่วยหนุนหลังด้วย ทีมถึงจะเดินหน้าต่อไปได้”
“ในฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะถึงนี้ เราเตรียมการอย่างเต็มที่ เนื่องจากมีการแข่งขันหลายรายการ แต่ทางสโมสรก็จะมีวิธีการโรเทชันนักเตะสลับหมุนเวียนกันลงอย่างไม่ติดขัดแน่นอน เพราะขุมกำลังที่มีอยู่ตอนนี้ทั้งนักเตะไทยและต่างชาติล้วนแล้วแต่ลงตัวไม่มีปัญหา ส่วนในรายการที่เพิ่มเข้ามาอย่าง เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก นั้น ต้องขอยอมรับว่าในปีนี้ถือเป็นปีแรกของเราที่ได้ลงเล่น หากถูกจับไปอยู่กลุ่มสุดหินซึ่งแต่ละทีมมีดีกรีเป็นแชมป์ภายในประเทศของตนเอง เป้าหมายของเราจึงขอแค่ผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปได้ก็พอใจแล้ว ถือว่าเป็นประสบการณ์ แต่หลังจากนี้อีก 5 ปี ของให้แฟนบอลบุรีรัมย์มั่นใจว่าพวกเราจะต้องติดท็อปเท็นเอเชียแน่นอน”
ส่วนเป้าหมายในฤดูกาลใหม่นั้น “บิ๊กเน” แห่งทีมปราสาทสายฟ้า เผยว่า “ทางสโมสรได้เตรียมความพร้อมผู้เล่นในทุกชุด และมีการสร้างทรัพยากรนักเตะขึ้นมาด้วย โดย อคาเดมีของสโมสรนั้นจะทำงานร่วมกับทีมพันธมิตรในอังกฤษอย่าง เลสเตอร์ ซิตี โดยจะมีการส่งเยาวชนที่อยู่กับอคาเดมี ให้เข้าไปร่วมฝึกซึ่งเสียงตอบรับกลับมานั้นเป็นที่น่าพอใจ” ขณะที่ทัวร์นาเมนต์ลูกหนังภายในประเทศนั้น ประธานสโมสรคนดังประกาศกร้าวว่า “ เป้าหมายของเราคือป้องกันแชมป์ให้ได้ทุกรายการ ผมไม่กลัวทีมไหนทั้งนั้น จะกลัวอย่างเดียวคือมาตรฐานของกรรมการในการตัดสิน ขอให้ตัดสินอย่างแม่นยำและเป็นกลาง ในเรื่องที่จะมีนอก-มีในอะไรนั้นก็ขอให้เป็นหน้าที่ของบริษัทไทยพรีเมียร์ลีกและสมาคมฟุตบอลฯเป็นตัวแทนแก้ไขและรับผิดชอบ เพราะตอนนี้ทุกสโมสรต่างพยายามยกระดับความเป็นมืออาชีพของตัวเองแล้ว เหลือก็เพียงแต่ทางสมาคมเท่านั้นที่จะต้องตามให้ทัน”
ทั้งหมดนี้คือการเดินทางของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลที่สโมสรเตรียมเปลี่ยนสถานะจากอันดับหนึ่งของประเทศไปสู่การเป็นสโมสรในระดับท็อปเท็นของทวีปเอเชีย ส่วนจะก้าวไปได้ตามโรดแมปภายในใจของ ผู้ชายที่ชื่อเนวิน ชิดชอบหรือไม่นั้นผลการแข่งขันนัดแรกของฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปี้ยนลีก ณ สนาม ไอ-โมบาย สเตเดียม จังหวัดบุรีรัมย์ ในวันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2555 น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่าฝันของพวกเขายังอยู่อีกไกลเพียงใด