ASTV ผู้จัดการรายวัน-ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ มีจุดเริ่มต้นมาจากความสำเร็จของทีมชาติไทยที่สามารถฝ่าฟันเข้าไปแข่งขันในรอบสุดท้ายของมหกรรมกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 19 เมื่อปีพ.ศ.2511 ทำให้ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ยมนาค นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ในเวลานั้นได้ทำหนังสือกราบบังคมทูล ขอรับพระราชทานพระบรมราชานุญาต ดำเนินการจัดการแข่งขัน “ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ” พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต พร้อมพระราชทานถ้วยถมทองคำสำหรับเป็นรางวัลแก่ทีมชนะเลิศ ซึ่งถ้วยเกียรติยศใบนี้จะไม่เป็นกรรมสิทธิ์แก่ทีมใด แต่ต้องจัดแข่งเป็นประจำทุกปีตามพระราชดำริ
จากการที่สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) ยังคงอนุญาตให้จัดการแข่งขันได้ติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า 40 ปี เราจึงอาจกล่าวได้ว่า นี่คือการแข่งขันฟุตบอลระดับชาติซึ่งได้รับพระราชทานถ้วยรางวัลจากองค์พระประมุขรายการเดียวที่ยังเหลืออยู่ของทวีปเอเชีย อันเป็นความภูมิใจของวงการฟุตบอลเมืองไทย โดยที่ผ่านมานอกจากนักเตะตำนานของเมืองไทยแล้ว ดาวดังจากชาติต่างๆ ที่เชิญมาก็เคยวาดลวดลายในรายการนี้มาแล้ว ทั้ง ปีเตอร์ ชไมเคิล, ไบรอัน เลาดรูป, โรนัลดินโญ ซึ่งต่อมาชื่อเหล่านี้ได้กลับไปแล้วเติบโตเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งโลกลูกหนัง รายการนี้จึงเป็นที่สนใจของแฟนบอลจนได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามในอดีตที่ผ่านมา
ด้าน “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ตำนานศูนย์หน้าจอมตีลังกากล่าวถึงคิงส์คัพว่า “เกียรติสูงสุดของการเป็นนักเตะไทย คือ การได้เล่นคิงส์คัพ การได้เล่นเพื่อพ่อหลวง เพราะพระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อคนไทยมามาก เมื่อมีโอกาสรับใช้ชาติในรายการนี้จึงไม่มีใครกล้าปฏิเสธความยิ่งใหญ่ ดังนั้น ทุกแมตช์จึงทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่ แม้ไม่มีเงินรางวัลแต่ก็มีคุณค่าอันหาที่เปรียบมิได้ เพราะนี่คือการได้ทดแทนพระคุณแผ่นดินอีกทาง”
ทว่า ศึกคิงส์คัพ ครั้งที่ 41 ที่เพิ่งปิดฉากลงไปดูเหมือนว่าจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในแง่ของการจัดการแข่งขัน บรรยากาศตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าเงียบเหงามาก ซึ่งแฟนบอลส่วนใหญ่มองว่าทีมที่เชิญมาอย่าง เดนมาร์ก กับ นอร์เวย์ ชุดบี และ เกาหลีใต้ ชุดปรีโอลิมปิก ยังไม่น่าดึงดูดเท่าที่ควร รวมถึงโค้ชก็ทดลองผู้เล่นเสียเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ผลงานของทีมชาติไทยในระยะหลังก็ไม่ค่อยดีนักจึงหันหลังให้กับการมาชมติดขอบสนาม สุดท้ายจึงแพ้ 3 นัดรวดปิดฉากอย่างน่าอับอายไปเมื่อวันเสาร์ที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา
เรื่องนี้ วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ มองว่า “สมัยนี้มีสิ่งบันเทิงมากขึ้น ตลอดจนมีการถ่ายทอดสดฟุตบอลต่างประเทศให้ดูกันแทบทุกสัปดาห์ ซึ่งเทียบไม่ได้กับเมื่อก่อนที่ผู้คนต่างเฝ้ารอให้ฟุตบอลคิงส์คัพมาถึง อีกทั้งแฟนบอลปัจจุบันให้ความสำคัญกับการแข่งขันที่มีความหมาย เช่น การลุ้นผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลก มากกว่ารายการที่เชิญทีมมาแข่งขัน ทำให้กระแสดูซบเซาลงไป ส่วนเรื่องทีมที่เชิญมาต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ปฏิทินการแข่งขันสากลแน่นมาก หากเชิญทีมใหญ่อย่าง บราซิล หรือ เยอรมนี มาอย่างมากก็เล่นได้เพียงนัดเดียว อย่างไรก็ตาม เราพยายามเชิญทีมที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้พวกเขาอาจจะไม่ได้ส่งชุดที่แข็งแกร่งที่สุดมาก็ตาม”
ในส่วนของมุมมองแฟนบอล พินิจ งามพริ้ง ประธานกลุ่มเชียร์ไทยเพาเวอร์ พูดถึงสาเหตุหลักที่คิงส์คัพหนนี้ไม่คึกคักว่า “ปัญหาข้อแรก คือ การขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดี แม้ไม่ใช่แมตช์ทางการก็สามารถดึงมวลชนได้หากรู้จักใช้หลักการตลาดเข้ามาช่วยโปรโมตการแข่งขัน เช่น การติดป้ายโฆษณาทั่วเมือง จัดกิจกรรมรณรงค์ หรือระดมออกสื่อโฆษณาก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น ไม่ใช่แค่ให้สัมภาษณ์ออกสื่อหรือลงข่าวเท่านั้น ข้อที่สอง คือ ความไม่เรียบร้อยในการจัด ซึ่งกว่าจะกำหนดวันได้ก็ค่อนข้างกระชั้นชิด ข้อที่สาม คือ สนามราชมังคลากีฬาสถานมีปัญหาในการเดินทาง ซึ่งแมตช์กึ่งทางการเช่นนี้หากใช้สนามศุภชลาศัยที่เดินทางสะดวกกว่าก็อาจมีคนเข้าสนามมากขึ้น ส่วนเรื่องผลงานทีมชาติไทยตกต่ำ, การเตรียมทีมเพื่อเจอ โอมาน ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก, ทีมที่เชิญมาไม่ใหญ่พอถือเป็นประเด็นรอง แต่หากเชิญทีมที่แข็งแกร่งกว่าเราให้หลากหลายกว่านี้ก็อาจกระตุ้นให้คนเข้าชมมากขึ้นได้”
แต่เหนือสิ่งอื่นใด คิงส์คัพ จะคืนสู่ความเปี่ยมมนต์ขลังเหมือนเมื่อครั้งอดีตได้ คนไทยต้องเห็นคุณค่าและความสำคัญของรายการฟุตบอลถ้วยพระราชาให้ลึกซึ้งก่อน ดังที่ “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล อดีตกองกลางทีมชาติไทยที่เคยค้าแข้งในบุนเดสลีกา เยอรมนี กล่าวว่า “ทุกวันนี้ ดินที่ติดรองเท้าสตั๊ดจากนัดแรกที่ผมลงเล่นในคิงส์คัพที่เอาชนะ เกาหลีใต้ 2-1 ซึ่งผมยิงได้ 1 ประตู ผมยังคงรักษาไว้อย่างดีในโหลแก้วที่บ้าน ตอนนั้นเพิ่งอายุแค่ 18-19 ปี การได้เล่นร่วมกับรุ่นพี่ที่เก่งๆ และเล่นต่อหน้าแฟนบอลเต็มสนาม คือ ประสบการณ์ที่สุดยอดที่สุดในชีวิตนักฟุตบอลของผม แม้ว่าจะได้ค้าแข้งในต่างประเทศ ประสบความสำเร็จมากมาย แต่ทุกครั้งที่นึกถึงฟุตบอลคิงส์คัพ มันเป็นความสุข เป็นความภูมิใจที่ได้รับใช้ชาติ ได้รับใช้ในหลวงของเรา”