"เวสตี้" ลี เวสต์วูด อดีตนักกอล์ฟมือ 3 โลกชาวอังกฤษ เปิดเผยว่า รู้สึกประทับใจกับฟอร์มการเล่นของตนเองตลอดทั้งสัปดาห์ โดยเฉพาะสองรอบแรกที่ทำสกอร์ 20 อันเดอร์พาร์ จนไม่มีปัญหาสำหรับการคว้าแชมป์ในสองวันสุดท้ายของศึก "ไทยแลนด์ กอล์ฟ แชมเปียนชิป" ขณะเดียวกันยังมั่นใจฟอร์มการเล่นในฤดูกาลนี้จะพีคต่อไปอย่างแน่นอน
หลังจากเสร็จสิ้น การแข่งขันกอล์ฟเอเชียน ทัวร์ ปิดท้ายฤดูกาล 2011 รายการไทยแลนด์ กอล์ฟ แชมเปียนชิป ระหว่างวันที่ 15-18 ธันวาคม 2554 ชิงเงินรางวัลรวม 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 31 ล้านบาท) ที่สนามอมตะ สปริง คันทรี คลับ ระยะ 7,453 หลา พาร์ 72 จังหวัดชลบุรี ปรากฏว่า "เวสตี้" ทำสกอร์รอบแรกที่ 12 อันเดอร์พาร์, รอบสอง 8 อันเดอร์พาร์, รอบสาม 1 โอเวอร์พาร์ และรอบสุดท้าย 3 อันเดอร์พาร์ สกอร์รวมสี่วัน 22 อันเดอร์พาร์ เอาชนะ ชาร์ล ซวาร์ทเซล ดีกรีแชมป์ 'เดอะ มาสเตอร์ส' ไปถึง 7 สโตรก คว้าโทรฟีรายการที่ 4 ในฤดูกาลนี้สำเร็จ พร้อมทวงตำแหน่งมือ 2 จาก รอรีย์ แม็คอิลรอย สตาร์กอล์ฟชาวไอร์แลนด์เหนือ กลับมาได้อีกครั้ง
โดย โปรวัย 39 ปี กล่าวว่า “ผมมีความสุขและสนุกมากกับการแข่งขันตลอดทั้งสัปดาห์ ซึ่งแชมป์ส่งท้ายปีรายการนี้ทำให้ผมมีความมั่นใจมากขึ้น จนเชื่อว่าฤดูกาลหน้าจะเล่นได้ดีอย่างนี้ต่อไป ซึ่งนับได้ว่านี่คือหนึ่งในชัยชนะที่ดีที่สุดที่ผมเคยทำได้ เพราะสนามนี้ไม่ใช่สนามง่าย โดยรอบนี้ทำได้สกอร์ 69 ก็ถือว่าดีมากแล้ว อย่างไรก็ดีการนำถึง 11 สโตรคในรอบสองช่วยผมได้มาก เพราะ ไม่มีความกดดันใดๆ ซึ่งในรอบสุดท้ายผมก็อาศัยความได้เปรียบจากการขึ้นนำคว้าชัยไปได้สำเร็จ
สำหรับ เป้าหมายในฤดูกาลต่อไป "เวสตี้" ทิ้งท้ายว่า "ผมชอบเดินทางมาแข่งขันในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย ญี่ปุ่น จีน และประเทศไทยช่วงปลายปี เพราะ ผมเคยชินกับสภาพอากาศร้อน และมักเล่นได้ดีเสมอ นอกจากนั้นผมยังวางการแข่งขัน Fedex Cup เข้าไปในตารางการแข่งขันของผมด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก สุดท้ายนี้ผมขอบอกว่า ชอบเมืองไทยและคนไทย ที่นี่สภาพสนามดี โรงแรมดี อากาศดี ผมชอบทุกสิ่งมาก และนี่ก็เป็นสัปดาห์ที่ดีมากสำหรับผมด้วยเช่นกัน"
ขณะเดียวกัน ทาง "เอเชียน ทัวร์" ได้มีการประกาศมอบรางวัลตำแหน่งนักกอล์ฟมือ 1 ของทัวร์นาเมนต์ประจำฤดูกาล 2011 ซึ่งตกเป็นของ จูวิค ปากันซาน นักกอล์ฟชาวฟิลิปปินส์ ที่ทำอันดับในตารางออร์เดอร์ ออฟ เมอร์ริต เป็นที่ 1 ด้วยจำนวนเงินสะสม 788,298.60 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 23.6 ล้านบาท)