คอลัมน์สุดฟากสนาม เรื่อง นกฟินิกซ์
หลังให้สัมภาษณ์สื่อชนิดที่ทำเอาทุกฉบับต้องพาดหัวถึงอหังการของ อังเดร อากัสซี่ ที่ประกาศกลับมาทวงตำแหน่งมือหนึ่งของโลก ทั้งที่เวลาดังกล่าวคำต่อท้ายของเจ้าตัวยังถูกสื่อเขียนว่า “อดีตนักเทนนิสหมายเลขหนึ่งโลก” แน่นอนว่ายังไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะทำได้จริงหากประมวลจากพฤติกรรมที่ผ่านมา ประกอบกับวัยที่ล่วงเลยจากจุดสูงสุดในชีวิตนักเทนนิสอาชีพมาแล้ว หากแต่ความเชื่อมั่น และ จุดมุ่งหมายต่อชัยชนะที่เปลี่ยนไปจากอดีตกลายเป็นแรงขับดันสำคัญที่ทำให้ อังเดร กระหายในชัยชนะอีกครั้ง
จากการแข่งขันที่ ซานโฮเซ่ พร้อมกับการประกาศกลับคืนสู่บัลลังก์นักเทนนิสหมายเลขหนึ่งโลกอีกครั้ง อังเดร ลงสนามรายการต่อมาที่ สก๊อตต์เดล และ คว้าแชมป์เป็นรายการที่สองติดต่อกัน โดยโค่นนักเทนนิสมากฝีมืออย่าง เจสัน สโตลเทนเบิร์กจากออสเตรเลีย นับเป็นชัยชนะที่อังเดร ระบุในหนังสือชีวประวัติของตนเองว่าเป็นการทดสอบสมาธิและความอดทนของตนเองที่ต้องเจอกับเกมที่เนิบนาบ หากแต่หนักหน่วงของ สโตลเทนเบิร์ก และหาทางเอาชนะได้ในที่สุด
การคว้าแชมป์สองรายการติดต่อกันทำให้ความมั่นใจของ อดีตนักเทนนิสหมายเลขหนึ่งโลกมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นเขาลงสู่สนามการแข่งขันต่อที่อินเดียน เวลส์ เอาชนะนักเทนนิสจอมแกร่งอย่าง แพทริค ราฟเตอร์ ก่อนจะพ่ายให้กับดาวรุ่งอย่าง แจน ไมเคิล แกมบิลล์ แต่เรื่องดังกล่าวไม่ได้รบกวนจิตใจอังเดร เขายังคงเดินหน้าต่อด้วยความมุ่งมั่น และกระหายในชัยชนะ ด้วยเป้าหมายในการกลับคืนสู่คอร์ตครั้งนี้ของเจ้าตัวคือทำสิ่งที่เหนือกว่าการได้เป็นนักเทนนิสหมายเลขหนึ่งโลก เหนือกว่าการทำเงินรางวัลได้สูงสุดในฤดูกาล เหนือกว่าการได้ครองแชมป์แกรนด์สแลม โดยเป้าหมายเดียวที่อังเดร ตั้งเอาไว้คือการคว้าชัยชนะให้ได้มากที่สุดเพื่อการสร้างสถาบันเทนนิสให้เด็กด้อยโอกาสของตนเอง ภายใต้ชื่อ “ดิ อังเดร อากัสซี่ คอลเลจ พรีเพเรโทรี่ย์ อาคาเดมีย์” ( The Andre Agassi College Preparatory Academy) ให้กลายเป็นจริง
หลังเดินสายแข่งติดต่อกัน อังเดร กลับมาอยู่บ้านที่ ลอสแองเจลิส กับ บรู๊ค ชิลส์ แน่นอนว่าเมืองแห่งโลกมายานั้นอังเดร ไม่เพื่อนอยู่ไม่มากนัก แต่ บรู๊ค ต้องออกจากบ้านไปงานปาร์ตี้ทุกวัน และนั่นหมายถึงอดีตนักเทนนิส เจ้าของฉายา “ไอ้หนุ่มบลูยีน” ต้องอยู่เฝ้าบ้านอย่างโดดเดี่ยว แต่โชคยังเข้าข้างอยู่บ้างเมื่อ “เจพี” บุคคลที่แนะนำให้ อังเดร ได้รู้จักกับ เนลสัน แมนเดลลา อยู่ในแอลเอด้วยในเวลานั้นและทำให้ทั้งคู่ได้ใช้เวลานั่งคุยกันหน้าเตาผิง เกือบทุกคืน และ เจพี ทำหน้าที่เหมือนเป็นจิตแพทย์ประจำตัวของอังเดร ไปด้วยเช่นกัน เมื่อนักเทนนิสหนุ่มกล่าวถึงการกลับคืนสู่สนามในครั้งนี้ด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่เหมือนเก่า หากแต่ลึกลงไปเขายังกลัวอยู่ว่าวันหนึ่งเหตุการณ์บนสนามแข่งจะกลับไปเป็นเหมือนเก่า
“เจพี” ได้ให้คำแนะนำที่น่าสนใจแก่อังเดรว่า “ความกลัวไม่มีวันหมดไปจากใจเราหรอกอังเดร หากแต่ความกลัวจะช่วยจุดไฟในตัวคุณให้ลุกโชนอยู่ตลอดเวลา” หลังจากนั้นเจพี มองไปรอบๆบ้านของนักเทนนิสหนุ่มก่อนกล่าวทิ้งท้ายไว้แบบตั้งข้อสังเกตุว่า “ทุกครั้งที่ผมมาหาคุณที่บ้านไม่เคยเจอภรรยาคุณเลยนะ สงสัยว่าเธอจะยุ่งอยู่ข้างนอก” อังเดรไม่ได้ตอบคำถาม หากแต่เขาชินชากับสภาพที่เป็นอยู่จนไม่ทันได้สังเกตสิ่งที่เพื่อนผู้มาเยือนรู้สึก
หลังให้สัมภาษณ์สื่อชนิดที่ทำเอาทุกฉบับต้องพาดหัวถึงอหังการของ อังเดร อากัสซี่ ที่ประกาศกลับมาทวงตำแหน่งมือหนึ่งของโลก ทั้งที่เวลาดังกล่าวคำต่อท้ายของเจ้าตัวยังถูกสื่อเขียนว่า “อดีตนักเทนนิสหมายเลขหนึ่งโลก” แน่นอนว่ายังไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะทำได้จริงหากประมวลจากพฤติกรรมที่ผ่านมา ประกอบกับวัยที่ล่วงเลยจากจุดสูงสุดในชีวิตนักเทนนิสอาชีพมาแล้ว หากแต่ความเชื่อมั่น และ จุดมุ่งหมายต่อชัยชนะที่เปลี่ยนไปจากอดีตกลายเป็นแรงขับดันสำคัญที่ทำให้ อังเดร กระหายในชัยชนะอีกครั้ง
จากการแข่งขันที่ ซานโฮเซ่ พร้อมกับการประกาศกลับคืนสู่บัลลังก์นักเทนนิสหมายเลขหนึ่งโลกอีกครั้ง อังเดร ลงสนามรายการต่อมาที่ สก๊อตต์เดล และ คว้าแชมป์เป็นรายการที่สองติดต่อกัน โดยโค่นนักเทนนิสมากฝีมืออย่าง เจสัน สโตลเทนเบิร์กจากออสเตรเลีย นับเป็นชัยชนะที่อังเดร ระบุในหนังสือชีวประวัติของตนเองว่าเป็นการทดสอบสมาธิและความอดทนของตนเองที่ต้องเจอกับเกมที่เนิบนาบ หากแต่หนักหน่วงของ สโตลเทนเบิร์ก และหาทางเอาชนะได้ในที่สุด
การคว้าแชมป์สองรายการติดต่อกันทำให้ความมั่นใจของ อดีตนักเทนนิสหมายเลขหนึ่งโลกมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นเขาลงสู่สนามการแข่งขันต่อที่อินเดียน เวลส์ เอาชนะนักเทนนิสจอมแกร่งอย่าง แพทริค ราฟเตอร์ ก่อนจะพ่ายให้กับดาวรุ่งอย่าง แจน ไมเคิล แกมบิลล์ แต่เรื่องดังกล่าวไม่ได้รบกวนจิตใจอังเดร เขายังคงเดินหน้าต่อด้วยความมุ่งมั่น และกระหายในชัยชนะ ด้วยเป้าหมายในการกลับคืนสู่คอร์ตครั้งนี้ของเจ้าตัวคือทำสิ่งที่เหนือกว่าการได้เป็นนักเทนนิสหมายเลขหนึ่งโลก เหนือกว่าการทำเงินรางวัลได้สูงสุดในฤดูกาล เหนือกว่าการได้ครองแชมป์แกรนด์สแลม โดยเป้าหมายเดียวที่อังเดร ตั้งเอาไว้คือการคว้าชัยชนะให้ได้มากที่สุดเพื่อการสร้างสถาบันเทนนิสให้เด็กด้อยโอกาสของตนเอง ภายใต้ชื่อ “ดิ อังเดร อากัสซี่ คอลเลจ พรีเพเรโทรี่ย์ อาคาเดมีย์” ( The Andre Agassi College Preparatory Academy) ให้กลายเป็นจริง
หลังเดินสายแข่งติดต่อกัน อังเดร กลับมาอยู่บ้านที่ ลอสแองเจลิส กับ บรู๊ค ชิลส์ แน่นอนว่าเมืองแห่งโลกมายานั้นอังเดร ไม่เพื่อนอยู่ไม่มากนัก แต่ บรู๊ค ต้องออกจากบ้านไปงานปาร์ตี้ทุกวัน และนั่นหมายถึงอดีตนักเทนนิส เจ้าของฉายา “ไอ้หนุ่มบลูยีน” ต้องอยู่เฝ้าบ้านอย่างโดดเดี่ยว แต่โชคยังเข้าข้างอยู่บ้างเมื่อ “เจพี” บุคคลที่แนะนำให้ อังเดร ได้รู้จักกับ เนลสัน แมนเดลลา อยู่ในแอลเอด้วยในเวลานั้นและทำให้ทั้งคู่ได้ใช้เวลานั่งคุยกันหน้าเตาผิง เกือบทุกคืน และ เจพี ทำหน้าที่เหมือนเป็นจิตแพทย์ประจำตัวของอังเดร ไปด้วยเช่นกัน เมื่อนักเทนนิสหนุ่มกล่าวถึงการกลับคืนสู่สนามในครั้งนี้ด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่เหมือนเก่า หากแต่ลึกลงไปเขายังกลัวอยู่ว่าวันหนึ่งเหตุการณ์บนสนามแข่งจะกลับไปเป็นเหมือนเก่า
“เจพี” ได้ให้คำแนะนำที่น่าสนใจแก่อังเดรว่า “ความกลัวไม่มีวันหมดไปจากใจเราหรอกอังเดร หากแต่ความกลัวจะช่วยจุดไฟในตัวคุณให้ลุกโชนอยู่ตลอดเวลา” หลังจากนั้นเจพี มองไปรอบๆบ้านของนักเทนนิสหนุ่มก่อนกล่าวทิ้งท้ายไว้แบบตั้งข้อสังเกตุว่า “ทุกครั้งที่ผมมาหาคุณที่บ้านไม่เคยเจอภรรยาคุณเลยนะ สงสัยว่าเธอจะยุ่งอยู่ข้างนอก” อังเดรไม่ได้ตอบคำถาม หากแต่เขาชินชากับสภาพที่เป็นอยู่จนไม่ทันได้สังเกตสิ่งที่เพื่อนผู้มาเยือนรู้สึก
