ASTV ผู้จัดการรายวัน – ผลการจับสลากแบ่งสายการแข่งขันฟุตบอล ในกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 26 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ปรากฏว่า ทีมชาติไทย ภายใต้การนำทัพของ "บิ๊กกาเซ็ม" เกษม จริยวัฒนวงศ์ และ "โค้ชเหม่ง" ประพล พงษ์พานิช นั้น ถูกวางให้อยู่ในกลุ่มเอ ร่วมกับ อินโดนีเซีย เจ้าภาพ,มาเลเซีย,สิงค์โปร์ และ กัมพูชา นับเป็นการจัดสายที่น่าจะสร้างความงงงันให้กับ ทัพช้างศึกของไทยมิใช่น้อย เพราะการจับสลากครั้งนี้ ไม่มีการแบ่งให้ทีมวางอยู่กันคนละสายเหมือนดังการจัดสายการแข่งขันแบบสากลที่ใช้กันในทุกทัวร์นาเมนท์ลูกหนัง และด้วยรูปการณ์ที่ออกมาเช่นนี้ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตุว่า ความได้เปรียบทั้งหมดน่าจะตกอยู่ที่ประเทศเจ้าภาพ และแชมป์เก่าอย่างมาเลเซีย ขณะที่ ทีมไทยนั้นต้องเล่นภายใต้ความกดดัน ชนิดที่ต้องขีดเส้นใต้ให้ชนะทุกแมทช์เพื่อการันตีการเข้ารอบและลบรอยอัปยศจาก “เวียงจันทน์เกมส์ 2009” ซึ่งทัพช้างศึกของไทยจะผ่านด่านโหดตั้งแต่รอบแรกได้หรือไม่นั้นทัศนะของอดีตทีมชาติ และ กุนซือชื่อดังในไทยพรีเมียร์ลีก น่าจะตอบโจทย์ดังกล่าวได้ดีที่สุด
โดย วิทยา เลาหกุล กุนซือของ"ฉลามชล" ชลบุรี เอฟซี มองว่าการจับสลากครั้งนี้ดูผิดสังเกตุที่ไม่มีการแบ่งทีมวางให้อยู่คนละสาย โดยกล่าวว่า "ถือเป็นเรื่องประหลาดใจพอสมควรสำหรับการที่ทีมชาติไทยต้องอยู่ร่วมสายเดียวกับอินโดนีเซีย และ มาเลเซีย ในการแข่งขันซีเกมส์ครั้งนี้ เพราะความจริงแล้วเจ้าภาพและแชมป์เก่าน่าจะอยู่คนละสายมากกว่า แต่เมื่อผลออกมาเป็นเช่นนี้ก็คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ มีแต่ต้องให้นักเตะทุกคนทำผลงานให้ดีที่สุดเท่านั้น เพราะหากทุกคนทุ่มเทเต็มที่ผมก็เชื่อว่าไทยน่าจะมีโอกาสคว้าเหรียญทองได้"
พร้อมกันนี้ "โค้ชเฮง" แนะว่าทีมช้างศึกต้องปรับปรุงในเรื่องของเกมรับ และสภาพจิตใจของผู้เล่นก่อนบุกแดนอิเหนา "ที่ผ่านมาผมคิดว่าทีมชาติไทยชุดนี้เสียประตูง่ายเกินไป อย่างเกมอุ่นเครื่องกับชลบุรี เอฟซี ก็เสียไปแล้ว 3 ประตู ถือเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขก่อนเดินทางไปที่อินโดนีเซีย ส่วนสภาพจิตใจก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะทุกคนล้วนแต่เป็นนักเตะที่ยังไม่มีประสบการณ์ในเวทีระดับนานาชาติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อยากให้นักเตะทุกคนมุ่งมั่นและมีสมาธิในแต่ละเกมจะเป็นการดีกว่า เพราะหากลงเล่นพร้อมแบกความหวังที่จะต้องนำเหรียญทองกลับมาฝากประเทศไทย ก็จะทำให้เด็กรู้สึกกดดัน และขาดกำลังใจได้"
ขณะที่ "ซิโก" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ตำนานกองหน้าทีมชาติไทยที่เวลานี้นั่งแท่นกุนซือบีบีซียู หรือ จุฬา ยูไนเต็ด มองว่าแม้ทัพนักเตะไทยจะต้องอยู่ร่วมสายเดียวกับทีมที่แข็งแกร่ง แต่หากเก็บชัยชนะได้ในเกมนัดแรก ก็จะเป็นการลดความกดดันได้เป็นอย่างดี "ต้องยอมรับตามตรงว่าเราอยู่ในสายที่ค่อนข้างหนัก แม้ฝีเท้าเราอาจไม่เป็นรองใคร แต่เมื่อถึงเวลาต้องลงแข่งขันในต่างแดน เกรงว่าน้องๆทุกคนที่ล้วนแต่เป็นหน้าใหม่ อาจมีปัญหาในเรื่องของสภาพจิตใจก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าหากทีมชาติไทยเก็บชัยชนะได้ตั้งแต่เกมแรก ความกดดันก็จะน้อยลง และมีโอกาสเข้ารอบต่อไปได้"
"ณ เวลานี้ ผมคิดว่าทีมชาติไทยต้องออกไปเล่นเกมอุ่นเครื่องนอกบ้านกับทีมในระดับเดียวกันบ้าง เพื่อฝึกให้น้องๆทุกคนมีประสบการณ์และฝึกรับมือกับความกดดันเมื่อลงเล่นในต่างแดนเป็นสำคัญ ถือเป็นจุดอ่อนที่ผมเห็นได้ชัดจากซีเกมส์ครั้งก่อน เด็กๆหลายคนเวลาซ้อมก็ทำผลงานได้เป็นอย่างดี แต่กลับมีอาการตื่นสนามเมื่อถึงเวลาลงแข่งขันจริง ซึ่งต้องแก้ไขในจุดนี้ก่อน ส่วนเรื่องแท็กติกคงไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะผมเชื่อว่าพี่เกษม และ พี่เหม่ง ประพล พงษ์พานิช ผู้เป็นโค้ชน่าจะวางระบบการเล่นไว้ล่วงหน้าแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่ในเรื่องของจิตใจเท่านั้น หากทุกคนมั่นใจ ก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก" อดีตดาวยิงจอมตีลังกา กล่าว
ส่วน "เสือเตี้ย" สะสม พบประเสิรฐ อดีตเฮดโค้ชของ การท่าเรือไทย เอฟซี และ บุรีรัมย์ เอฟซี ให้ทรรศนะอย่างมั่นใจว่าทีมไทยชุดนี้มีศักยภาพพอที่จะเป็นแชมป์ฟุตบอลซีเกมส์หนนี้ “ผมมองว่าการจับสลากครั้งนี้ไม่ได้เป็นการเอื้อให้ทีมเจ้าภาพหรือแชมป์เก่าเลยแม้แต่น้อย ถือเป็นเรื่องดีอีกด้วยเพราะคิดว่าทีมชาติไทยชุดนี้มีประสิทธิภาพมากพอที่จะล้มได้ทุกทีม ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซียหรืออินโดนีเซียก็ตาม เท่าที่ศึกษารูปแบบการเล่นพบว่าทุกชาติไม่แตกต่างมากนัก บางทีเราอาจจะเหนือกว่าด้วย เพียงแต่สิ่งสำคัญคือขอให้เด็กๆทุกคนที่เป็นตัวแทนของชาติมีสภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแกร่งเท่านั้น เพราะหากเอาชนะทีมแข็งๆได้ โอกาสในการคว้าเหรียญทองของเราก็จะง่ายขึ้น และในที่สุดก็จะเป็นแชมป์ซีเกมส์ได้อย่างแน่นอน”
"อย่างไรก็ตาม ผมอยากให้ทีมไทยมีเกมอุ่นเครื่องให้มากกว่านี้ เพราะที่ผ่านมาถือว่าน้อยเกินไปและยังวัดอะไรไม่ได้ หากเลือกได้ก็ให้อุ่นเครื่องกับทีมในระดับอาเซียน เพื่อทดสอบศักยภาพของทีมว่ามีดีเพียงใดสำหรับการเจอทีมระดับเดียวกัน และผมเห็นด้วยกับแนวคิดของคุณเกษม ที่ระบุว่าต้องการให้นักเตะชุดนี้มีสภาพร่างกายที่สามารถวิ่งไล่บอลได้ตลอด 120 นาที เพราะนี่คือสิ่งที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วน ดังนั้น หากทีมชาติไทยต้องการเป็นเบอร์ 1 ของอาเซียนจริงๆ ก็ต้องมีความพร้อมและจิตใจที่มุ่งมั่น กระหายชัยชนะทุกเกมไม่ว่าจะต้องเล่นกับใครก็ตาม และต้องไม่มีข้ออ้างใดๆทั้งสิ้นเมื่อพบกับความล้มเหลว หากนักเตะทุกคนทำได้ แฟนบอลชาวไทยจะได้ชื่นชมกับความสำเร็จของขุนพลช้างศึกอย่างแน่นอน"
ทั้งหมดนี้คือ ทัศนะของเหล่ากูรูแห่งวงการลูกหนังไทย ที่ต่างมองคล้ายกันว่าความสำเร็จของทีมลูกหนังไทยในซีเกมส์ หนนี้คือความมุ่งมั่น และ มีสมาธิอยู่กับเกมการแข่งขัน เพราะถึงแม้เจ้าภาพจะได้เปรียบอยู่ไม่น้อยจากการแบ่งสาย แต่ถ้าความต้องการจะเป็นเบอร์หนึ่งของอาเซียน คือเป้าหมายของทีมช้างศึกทั้งทีม รับรองได้ว่ารอบชิงชนะเลิศฟุตบอลคนไทยทั้งประเทศจะได้ร้องเพลงชาติร่วมกับนักกีฬาอย่างแน่นอน