"บิ๊กหนุ่ม" กนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ตั้งเป้า 125 เหรียญทองซีเกมส์ ครั้งที่ 26 รองอินโดนีเซีย ประเทศเจ้าภาพ เบียดเวียดนาม พร้อมสั่งยึดจ่าฝูง 22 ชนิดกีฬาที่บรรจุในกีฬาโอลิมปิกเกมส์
เมื่อเวลา 13.00 น. วันอังคารที่ 27 กันยายน 2554 สมาคมนักข่าวช่างภาพกีฬาแห่งประเทศไทย จัดงานแถลงข่าวความพร้อมของทัพนักกีฬาไทยก่อนเดินทางไปแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 26 ณ ประเทศอินโดนีเซีย โดยมี "เสธ.จา" พลตรีจารึก อารีราชการัณย์ รองประธานและเลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย, "บิ๊กหนุ่ม" กนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย และ ดร.สุวัตร สิทธิหล่อ อธิบดีกรมพลศึกษาและว่าที่ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมมาให้เกียรติแถลงข่าว ณ ห้องประชุมรอดโพธิ์ทอง สนามกีฬาแห่งชาติ
สำหรับการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 26 จะจัดขึ้นที่ประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 11-22 พฤศจิกายน 2554 กำหนดจัด 2 เมือง คือ ปาเล็มบัง(เกาะสุมาตรา) กั บกรุงจาการ์ตา โดยมีจำนวน 41 ชนิดกีฬา 545 เหรียญทอง ซึ่งประเทศเจ้าภาพกำหนดกีฬาบังคับ 2 ชนิด คือ กรีฑา และ ว่ายน้ำ
โดย "เสธ.จา" พลตรีจารึก อารีราชการัณย์ รองประธานและเลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมว่า "ขณะนี้ทางเจ้าภาพยังไม่พร้อมในเรื่องสถานที่จัดการแข่งขันหลายชนิดกีฬา อาทิ ว่ายน้ำ, บิลเลียด,สนุกเกอร์ นอกจากนี้ทางอินโดนีเซีย ยังได้เพิ่ม 5 เหรียญทองในกีฬาจักรยาน ที่สำคัญขอให้ทัพนักกีฬาและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องตลอดจนสื่อมวลชนให้ระมัดระวังเรื่องความเป็นอยู่ในระหว่างการแข่งขันซีเกมส์"
ขณะเดียวกัน นายกนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย เผยถึงการเก็บตัวฝึกซ้อมทัพนักกีฬาชุดซีเกมส์ว่า "กกท. ได้มีการเก็บตัวฝึกซ้อมนักกีฬามาเป็นเวลากว่า 9 เดือน โดยมีหลักเกณฑ์การคัดเลือกนักกีฬา อันดับแรกต้องเป็นนักกีฬาที่มีความหวัง คือ ผู้ที่เคยคว้าเหรียญทองในกีฬาซีเกมส์มาแล้วหลายครั้ง อันดับต่อมาต้องเป็นนักกีฬาที่เก่งที่สุดในประเทศและมีศักยภาพสูงในการหวังคว้าเหรียญทอง ดังนั้นนักกีฬาที่ส่งไปจำนวนทั้งสิ้น 853 คน ส่วนใหญ่ต้องได้เหรียญทองหรือทำสถิติที่สูงขึ้นให้ได้"
นอกจากนี้ "บิ๊กหนุ่ม" เผยหลังจากที่ได้ประเมินจากการเก็บตัวฝึกซ้อมนักกีฬาร่วมกับสมาคมกีฬา ว่า "จากการที่ไทยได้ส่งนักกีฬาแข่งขันจำนวน 39 ชนิดกีฬา จาก 41 ชนิดกีฬา ไม่ได้ส่ง 2 ชนิดกีฬาคือ โววินัม และ เทมโป ที่มีการชิงชัยถึง 30 เหรียญทอง ดังนั้นจากที่ไทยจะเป็นเจ้าเหรียญทองคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากคงไม่พ้นอินโดนีเซียที่เป็นเจ้าภาพ จึงทำให้ต้องเบียดกับเวียดนามเพื่อชิงที่สอง และต้องเป็นหนึ่งใน 22 ชนิดกีฬาที่บรรจุอยู่ในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์"
ส่วนการคาดหวังเหรียญทอง ผู้ว่าการ กกท. กล่าวว่า "จากเดิมทางสมาคมกีฬาได้ประเมินไว้ที่ 141 เหรียญทอง ทว่า ณ ปัจจุบันนี้การคาดหวังดังกล่าวได้ถูกบั่นทอนลดลงถึง 30 % เหตุผลเนื่องจากการแข่งขันมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ อาทิ การประกบคู่จับสลาก การตัดสินกีฬาด้วยสายตา การตัดสินกีฬาด้วยดุลพินิจของกรรมการซึ่งแน่นอนว่าต้องเบี่ยงเบนให้ประเทศเจ้าภาพ และการบาดเจ็บในระหว่างการฝึกซ้อมของนักกีฬา ปัญหาสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการนำเข้านักกีฬาต่างชาติ จึงทำให้การคาดหวังเหรียญรางวัลอยู่ที่ 125 เหรียญทองเท่านั้น ซึ่งก่อนที่มีการกำหนดเดินทางจะมีการตัดนักกีฬาที่บาดเจ็บและจะสรุปความคาดหวังเหรียญอีกครั้ง"
"ทั้งนี้เพื่อเป็นการผลักดันนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ อย่างแรกต้องมีการสนับสนุนผู้บริหารสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทยนั่งเป็นคณะกรรมการสหพันธ์กีฬาต่างๆ เพื่อมีผลต่อการตัดสินชนิดกีฬาที่ตัดสินด้วยสายตา และในหลายที่นักกีฬาบาดเจ็บต้องส่งแพทย์ที่ชำนาญ และ นักกายภาพบำบัด ดูแลอย่างใกล้ชิดเสมอ" ผู้ว่าการ กกท. กล่าวแนะทิ้งท้าย
เมื่อเวลา 13.00 น. วันอังคารที่ 27 กันยายน 2554 สมาคมนักข่าวช่างภาพกีฬาแห่งประเทศไทย จัดงานแถลงข่าวความพร้อมของทัพนักกีฬาไทยก่อนเดินทางไปแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 26 ณ ประเทศอินโดนีเซีย โดยมี "เสธ.จา" พลตรีจารึก อารีราชการัณย์ รองประธานและเลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย, "บิ๊กหนุ่ม" กนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย และ ดร.สุวัตร สิทธิหล่อ อธิบดีกรมพลศึกษาและว่าที่ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมมาให้เกียรติแถลงข่าว ณ ห้องประชุมรอดโพธิ์ทอง สนามกีฬาแห่งชาติ
สำหรับการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 26 จะจัดขึ้นที่ประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 11-22 พฤศจิกายน 2554 กำหนดจัด 2 เมือง คือ ปาเล็มบัง(เกาะสุมาตรา) กั บกรุงจาการ์ตา โดยมีจำนวน 41 ชนิดกีฬา 545 เหรียญทอง ซึ่งประเทศเจ้าภาพกำหนดกีฬาบังคับ 2 ชนิด คือ กรีฑา และ ว่ายน้ำ
โดย "เสธ.จา" พลตรีจารึก อารีราชการัณย์ รองประธานและเลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมว่า "ขณะนี้ทางเจ้าภาพยังไม่พร้อมในเรื่องสถานที่จัดการแข่งขันหลายชนิดกีฬา อาทิ ว่ายน้ำ, บิลเลียด,สนุกเกอร์ นอกจากนี้ทางอินโดนีเซีย ยังได้เพิ่ม 5 เหรียญทองในกีฬาจักรยาน ที่สำคัญขอให้ทัพนักกีฬาและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องตลอดจนสื่อมวลชนให้ระมัดระวังเรื่องความเป็นอยู่ในระหว่างการแข่งขันซีเกมส์"
ขณะเดียวกัน นายกนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย เผยถึงการเก็บตัวฝึกซ้อมทัพนักกีฬาชุดซีเกมส์ว่า "กกท. ได้มีการเก็บตัวฝึกซ้อมนักกีฬามาเป็นเวลากว่า 9 เดือน โดยมีหลักเกณฑ์การคัดเลือกนักกีฬา อันดับแรกต้องเป็นนักกีฬาที่มีความหวัง คือ ผู้ที่เคยคว้าเหรียญทองในกีฬาซีเกมส์มาแล้วหลายครั้ง อันดับต่อมาต้องเป็นนักกีฬาที่เก่งที่สุดในประเทศและมีศักยภาพสูงในการหวังคว้าเหรียญทอง ดังนั้นนักกีฬาที่ส่งไปจำนวนทั้งสิ้น 853 คน ส่วนใหญ่ต้องได้เหรียญทองหรือทำสถิติที่สูงขึ้นให้ได้"
นอกจากนี้ "บิ๊กหนุ่ม" เผยหลังจากที่ได้ประเมินจากการเก็บตัวฝึกซ้อมนักกีฬาร่วมกับสมาคมกีฬา ว่า "จากการที่ไทยได้ส่งนักกีฬาแข่งขันจำนวน 39 ชนิดกีฬา จาก 41 ชนิดกีฬา ไม่ได้ส่ง 2 ชนิดกีฬาคือ โววินัม และ เทมโป ที่มีการชิงชัยถึง 30 เหรียญทอง ดังนั้นจากที่ไทยจะเป็นเจ้าเหรียญทองคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากคงไม่พ้นอินโดนีเซียที่เป็นเจ้าภาพ จึงทำให้ต้องเบียดกับเวียดนามเพื่อชิงที่สอง และต้องเป็นหนึ่งใน 22 ชนิดกีฬาที่บรรจุอยู่ในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์"
ส่วนการคาดหวังเหรียญทอง ผู้ว่าการ กกท. กล่าวว่า "จากเดิมทางสมาคมกีฬาได้ประเมินไว้ที่ 141 เหรียญทอง ทว่า ณ ปัจจุบันนี้การคาดหวังดังกล่าวได้ถูกบั่นทอนลดลงถึง 30 % เหตุผลเนื่องจากการแข่งขันมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ อาทิ การประกบคู่จับสลาก การตัดสินกีฬาด้วยสายตา การตัดสินกีฬาด้วยดุลพินิจของกรรมการซึ่งแน่นอนว่าต้องเบี่ยงเบนให้ประเทศเจ้าภาพ และการบาดเจ็บในระหว่างการฝึกซ้อมของนักกีฬา ปัญหาสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการนำเข้านักกีฬาต่างชาติ จึงทำให้การคาดหวังเหรียญรางวัลอยู่ที่ 125 เหรียญทองเท่านั้น ซึ่งก่อนที่มีการกำหนดเดินทางจะมีการตัดนักกีฬาที่บาดเจ็บและจะสรุปความคาดหวังเหรียญอีกครั้ง"
"ทั้งนี้เพื่อเป็นการผลักดันนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ อย่างแรกต้องมีการสนับสนุนผู้บริหารสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทยนั่งเป็นคณะกรรมการสหพันธ์กีฬาต่างๆ เพื่อมีผลต่อการตัดสินชนิดกีฬาที่ตัดสินด้วยสายตา และในหลายที่นักกีฬาบาดเจ็บต้องส่งแพทย์ที่ชำนาญ และ นักกายภาพบำบัด ดูแลอย่างใกล้ชิดเสมอ" ผู้ว่าการ กกท. กล่าวแนะทิ้งท้าย
