ขณะที่การประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2553 ของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย มีกำหนดการในวันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2554 ณ ศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ หนองจอก โดยวาระสำคัญหนีไม่พ้นการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลฯ คนใหม่ แทนที่นายวรวีร์ มะกูดี ที่ทำงานมาครบวาระ 2 ปี หลังจากก่อนหน้านี้มีการเลื่อนมาจากวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา จากมติของสภากรรมการบริหารสมาคมฯ ที่มองว่ามีสมาชิกบางส่วนถือใบมอบอำนาจเข้าร่วมประชุมซ้ำซ้อนกัน ซึ่งก่อนจะถึงวันเลือกตั้งมีแคนดิเดตที่เปิดตัวพร้อมชิงตำแหน่งประมุขลูกหนังไทยถึง 4 คน ประกอบด้วย นายวรวีร์ เจ้าของเก้าอี้คนเดิม, นายวิรัช ชาญพานิชย์, นายพิเชฐ มั่นคง และ นายกษิติ กมลนาวิน โดยนโยบายของผู้สมัครแต่ละคนต่างสวยหรูน่าดูชมด้วยกันทั้งสิ้น
เริ่มด้วยนายวรวีร์ ที่ประกาศสานต่อการพัฒนาฟุตบอลลีกอาชีพทุกระดับ "แนวความคิดใหม่ของผมนอกจากพัฒนาฟุตบอลอาชีพ ระดับ ไทยพรีเมียร์ลีก, ดิวิชั่น 1, ดิวิชั่น 2, ฟุตบอลลีกหญิง และฟุตซอลลีก ยังต้องการที่จะจัดการแข่งขันอาเซียน แชมเปียนส์ ลีก โดยนำเอาแชมป์ลีกของแต่ละชาติในภูมิภาคนี้มาแข่งขันกัน พร้อมผลักดันให้สโมสรในประเทศเร่งพัฒนาตัวเองให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานของ เอเอฟซี โดยเฉพาะทีมในไทยพรีเมียร์ลีก ต้องผ่านเกณฑ์ดังกล่าวให้ได้ภายในปีนี้"
ส่วนนโยบายสำหรับทีมชาติไทย "บังยี" กล่าวว่าจะเน้นไปที่ผู้เล่นทีมชุดใหญ่ และชุดอายุไม่เกิน 23 ปี "เราจะใช้ผู้เล่นชุดเอเชียนเกมส์ และชุดอายุไม่เกิน 23 ปี เป็นหลักในการทำทีม ส่วนเรื่องโค้ชทีมชาติไทยที่ต้องหาคนมาทำหน้าที่แทน ไบรอัน ร็อบสัน ที่อำลาตำแหน่งไปนั้น มีความเป็นไปได้ว่าจะนำผู้ฝึกสอนชาวต่างชาติมาร่วมงานอีกครั้ง แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะนำโค้ชชาวไทยมาช่วย ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะมีการหารือกันหลังการเลือกตั้งในวันที่ 17 มิถุนายนนี้"
ด้านนายกษิติ กมลนาวิน อดีตผู้ประกาศข่าวกีฬาชื่อดังนำเสนอนโยบายการสร้างวัฒนธรรมใหม่ในวงการลูกหนังไทย "ผมบอกได้เลยว่าหากได้รับตำแหน่งแล้ว ทำงานไม่บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมจะลาออกจากตำแหน่งทันที เรื่องเหล่านี้เป็นความรับผิดชอบที่ผู้บริหารยุคเก่าไม่เคยทำ อย่างในยุคของคุณวรวีร์ ถือเป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงกับการทำหน้าที่ ทว่ากลับไม่เห็นมีใครออกมารับผิดชอบความผิดหวังของคนไทย 65 ล้านคน การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่ทุกคนอยากเห็น ผมพร้อมจะทำงานอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้มีบัญชีรายรับรายจ่ายของสมาคมที่ชัดเจนแน่นอนทุกขั้นตอน"
"อีกทั้งจะยังปรับเปลี่ยนโครงสร้างต่างๆ ภายในสมาคมฯ โดยเฉพาะเรื่องการเลือกตั้งที่สโมสรสมาชิกส่วนใหญ่เป็นทีมจาก ถ้วย ข.,ค.,ง. และสโมสรจากเหล่าทัพต่างๆ ขณะที่ทีมอย่าง เชียงราย ยูไนเต็ด ในไทยพรีเมียร์ลีก กลับไม่มีโอกาสออกเสียง เพียงเพราะไม่ได้เป็นสโมสรสมาชิกมาตั้งแต่ต้น ส่วนเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ต้องชัดเจน ยกตัวอย่างทีม บุรีรัมย์ พีอีเอ กับ บุรีรัมย์ เอฟซี ซึ่งต่างมีเจ้าของทีมคนเดียวกัน แม้ทางนิตินัยอาจจะต่างคน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าทางพฤตินัยนั้นเจ้าของคนเดียวกัน เรื่องเหล่านี้ต้องตอบสังคมให้ได้ว่ามาตรฐานวงการฟุตบอลไทยอยู่ที่ตรงไหน อยากจะฝากให้สมาชิกที่มีสิทธิออกเสียงอย่าเห็นแก่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ให้พินิจพิเคราะห์ถึงผลประโยชน์ของวงการฟุตบอลไทยเป็นหลักในการเลือกตั้งจะดีกว่า" นายกษิติ กล่าวทิ้งท้าย
ส่วนนายพิเชฐ มั่นคง อดีตประธานสโมสรการท่าเรือไทย เอฟซี ยอมรับตามตรงว่าปัจจุบันมีเพียง 3-5 เสียงสโมสรสมาชิกที่สนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งประมุขสมาคมฯ เผยเตรียมร่างแผนยุทธศาสตร์สร้างเยาวชนลูกหนังไทยสำหรับฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเอาไว้แล้ว "ก่อนอื่นผมต้องการให้เราเลิกเดินหลงทางกันเสียที เริ่มตั้งแต่การปรับเปลี่ยนให้ผู้จัดการทีมชาติไทยทุกคน ทุกชุด ไม่จำเป็นต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินเอง ให้เรื่องการเงินเป็นหน้าที่ของสมาคมฯ ทุกอย่างจะมีระบบขึ้นอีกมาก รวมถึงได้วางแผนยุทธศาสตร์สำหรับทีมชาติไทย โดยจะมีรายละเอียดในแต่ละปีว่าลงแข่งขันรายการใด และเป้าหมายเป็นอย่างไรในทุกรายการ อีกทั้งเตรียมสร้างทีมเยาวชนอายุไม่เกิน 12 ปี เพื่อก้าวสู่การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายให้ได้"
นอกจากนี้ "บิ๊กเชฐ" ยังแสดงความไม่เห็นด้วยกับการดึงผู้ฝึกสอนชาวต่างชาติมาทำหน้าที่คุมทีมชาติไทยด้วยว่า "นโยบายของผมคือการให้โอกาสโค้ชชาวไทยเป็นหลัก ยกตัวอย่างตอนนี้สมาคมฯ ไม่เอา ไบรอัน ร็อบสัน แต่จะดึง ปีเตอร์ วิธ กลับมาทำงานอีก ผมไม่เห็นด้วย และเชื่อว่าไม่เกิดประโยชน์เท่ากับการใช้โค้ชชาวไทย ขณะเดียวกันโควตาผู้เล่นต่างชาติในไทยพรีเมียร์ลีกปัจจุบันก็มีมากเกินไป คือส่งรายชื่อต่อนัดได้ถึง 7 คน ลงสนามได้ไม่เกิน 5 คน ไม่ก่อเกิดผลดีกับการพัฒนานักกีฬาทีมชาติ ผมจะกลับไปใช้กฎเดิมตามที่ เอเอฟซี กำหนดคือกฎ 3+1 ส่งผู้เล่นต่างชาติลงสนามได้ 3 คน บวกโควตาชาวเอเชียอีก 1 คน น่าจะเป็นผลดีกว่า หากถึงวันเลือกตั้งจริงพ่ายแพ้อีก ก็จะขอวางมือจากวงการฟุตบอลไปเลย"
ในส่วนของนายวิรัช ชาญพานิชย์ อดีตผู้จัดการทีมชาติไทย ที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งที่สูสีของ "บังยี" ที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ วางแผนจะกู้ชื่อทีมชาติไทยเป็นอันดับแรก "ห้วงเวลาที่ผ่านมาภายใต้การบริหารงานของคุณวรวีร์ เราได้เห็นความตกต่ำของทีมชาติไทยอย่างเด่นชัดและน่าสลดใจที่สุด ผมมีแผนกู้ชื่อทีมชาติไทยเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะช่วง 2 ปี ทุกรายการที่ลงแข่งขันต้องดีขึ้น รวมทั้งการบริหารงานต้องโปร่งใส ส่วนบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก ก็ต้องมีสโมสรสมาชิกเข้ามาถือหุ้นร่วมบริหารงานด้วย ไม่ใช่ชงเองกินเองอย่างทุกวันนี้ ขณะที่การแข่งขันฟุตบอลลีกในประเทศก็ต้องประคับประคองให้ทุกทีมอยู่รอด ไม่ให้เกิดสภาวะฟองสบู่แตกเหมือนที่กำลังเกิดขึ้นกับหลายทีม"
พร้อมกันนี้ "บิ๊กกร๊อง" กล่าวฝากไปยังการกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท.ด้วยว่า "การแข่งขันครั้งนี้อยากให้ทุกอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรมที่สุด ให้เป็นการต่อสู้ของสุภาพบุรุษ อย่าดึงการเมืองมาเกี่ยวข้อง ฝากไปยัง กกท.ด้วยว่า ไม่ได้มีหน้าที่แค่สังเกตการณ์เท่านั้น หากแต่ต้องดูแลการเลือกตั้งอย่างใกล้ชิด ผมลงสมัครเพราะสโมสรสมาชิกบางส่วนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง ขอให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ส่วนจะแพ้หรือชนะนั้นไม่สำคัญ ขอเพียงเป็นหนึ่งในตัวเลือกตามระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น"