ศึกชิงบัลลังก์เก้าอี้นายก ส.บอลไทย เริ่มคึกคัก หลัง กษิติ กมลนาวิน อดีตผู้ประกาศข่าวและพิธีกรรายการกีฬาชื่อดัง โดดลงสมัครชิงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เป็นคนที่ 4 ลั่นต้องการพัฒนาฟุตบอลไทยไปในทางที่ดีขึ้น หลังรับไม่ได้กับบอร์ดบริหารชุดเก่า ขาดความโปร่งใสในการบริหารงานสมาคม
หลัง นายวรวีร์ มะกูร์ดี อดีตนายกสมาคมฟุตบอลไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ประกาศจัดวันเลือกตั้งนายกสมาคมลูกหนังไทย เป็นวันที่ 17 มิถุนายนนี้ ทำให้กระแสแฟนบอลชาวไทยที่ผิดหวังกับการล้มการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง ขณะเดียวกัน นอกจากผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งอย่าง นายวรวีร์ มะกูร์ดี, นายพิเชฐ มั่นคง และ นายวิรัช ชาญพานิช แล้ว ล่าสุด ก็มีแคนดิเดตคนที่ 4 ปรากฏตัวขึ้น เมื่อ นายกษิติ กมลนาวิน อดีตผู้ประกาศข่าวชื่อดังทางช่อง 5 และ ผู้ผลิตรายการ “สายเลือดบอลไทย” ประกาศเข้ามาร่วมวงล่าเก้าอี้นายกเช่นเดียวกัน
โดยอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดใจผ่านทีมงาน MGR Sport ถึงการลงสมัครชิงเก้าอี้นายก ส.บอลไทย ว่า เป็นความสมัครใจของตนอย่างแท้จริง ไม่ได้มีคนเบื้องหลังคอยบงการแต่อย่างใด โดยกล่าวว่า “ผมคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้าที่จะลงสมัครได้มีการหารือกับทีมสโมสรในไทยลีกที่มีความสนิทสนมกันมาก่อน และได้ตัดสินใจลงสมัครเป็นนายกสมาคมฟุตบอลไทยด้วยตัวเอง ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังแน่นอน ส่วนสาเหตุเพราะผมมองว่าผู้ลงสมัครทั้งสามท่านอย่าง คุณวรวีร์ (มะกูร์ดี), คุณพิเชฐ (มั่นคง) และ คุณวิรัช (ชาญพานิช) นั้น ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนสำหรับการพัฒนาฟุตบอลไทย จึงทำให้ผมตั้งใจที่จะลงสมัครตำแหน่งดังกล่าว”
สำหรับนโยบายในการบริหารงานสมาคมลูกหนังไทย นายกษิติ ชี้แจงว่า “ผมจะเริ่มพัฒนาฟุตบอลตั้งแต่ระดับเยาวชนอายุ 12 ปี ก่อนต่อยอดสู่ทีมชาติไทยชุดใหญ่ ตามระบบโครงสร้างแบบต่างประเทศ และเปลี่ยนสไตล์การเล่นของทีมชาติไทยเป็นระบบ One Touch เพราะส่วนตัวนั้นเชื่อว่าทีมฟุตบอลทีมชาติไทยของเรานั้นมีศักยภาพที่ดีพอจะลงแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ หากเราไม่ยึดติดกับระบบการเล่นรูปแบบเก่าที่ไม่เอื้อต่อทีมชาติไทย”
“นอกจากนั้นแล้ว ผมมองว่า ยังมีอีกหลายอย่างที่ควรต้องพัฒนาสำหรับวงการฟุตบอลบ้านเรา อาทิ การทำหน้าที่ของผู้ตัดสินที่มีความผิดพลาดบ่อยครั้ง รวมถึงการเอนเอียงต่อทีมใดทีมหนึ่งมากเกินไป ปัญหาตรงนั้นผมจะแก้ด้วยการจัดอบรมผู้ตัดสินทุกสัปดาห์ พร้อมทำการประเมินผู้ตัดสินว่ามีข้อผิดพลาดตรงไหนบ้าง ใครที่ตัดสินไม่ดีก็สั่งลงโทษ และหากใครทำผิดซ้ำๆ ไม่มีการพัฒนา ก็ต้องปลดออก ทั้งนี้เพื่อให้เกิดผลการแข่งขันที่ยุติธรรมสำหรับทั้งสองฝ่าย และอีกอย่างคือการไม่สนับสนุนให้ผู้เข้ามาทำหน้าที่นี้ทุกคน ยึดตำแหน่งผู้ตัดสินเป็นอาชีพหลัก โดยอ้างอิงจากระบบผู้ตัดสินของต่างประเทศที่มีอาชีพหลักอยู่แล้ว และมาทำหน้าที่ผู้ตัดสินเป็นงานอดิเรก”
ขณะเดียวกัน นายกษิติ ได้กล่าวถึงกรณีปัญหาที่ไม่มีผู้ลงสมัครคนใดพูดถึง นั่นคือ การมีเจ้าของทีมซ้ำซ้อน ซึ่งอาจเกิดปัญหาต่อลีกฟุตบอลในอนาคต โดยกล่าวว่า “เรื่องที่คิดว่าไม่เห็นมีผู้สมัครท่านใดกล่าวรวมไปในนโยบายการทำงานของแต่ละท่านเลย คือ เรื่องของการที่มีบุคคลคนเดียวกันเป็นเจ้าของทีมมากกว่าหนึ่งทีม ยกตัวอย่างทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ ของ คุณเนวิน ชิดชอบ ที่มีทีมอยู่ในความดูแลถึงสองทีม แม้ว่าอีกทีมหนึ่ง (บุรีรัมย์ เอฟซี) จะมี คุณกรุณา ชิดชอบ ภรรยาของคุณเนวินเป็นผู้ดูแลอยู่ก็จริง แต่คนที่เป็นหัวเรือใหญ่ของทีมบุรีรัมย์ฯ ก็คือคุณเนวิน นั่นเอง และหากว่า ทีมบุรีรัมย์ เอฟซี เลื่อนชั้นจากดิวิชัน 1 ขึ้นมาเล่นในไทยพรีเมียร์ลีกได้จริงๆ อาจก่อให้เกิดความไม่ยุติธรรมต่อทีมอื่นๆ ในลีกได้ เพราะหากว่าสองทีมนี้มาเจอกันเอง มีความเป็นไปได้สูงที่อาจมีการฮั้วแต้มการแข่งขันเกิดขึ้น ดังนั้น ต้องมีการจัดการในเรื่องนี้ให้เหมาะสม แต่ที่พูดมาทั้งหมดผมยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหากับคุณเนวินแต่อย่างใด และไม่มีปัญหาขัดแย้งกับผู้สมัครคนใดทั้งสิ้น ที่ยกตัวอย่างขึ้นมา เป็นเพราะอยากเห็นวงการฟุตบอลไทยพัฒนาอย่างแท้จริง ไม่อยากให้เกิดปัญหาวัวหายแล้วล้อมคอกในภายหลัง”
ส่วนด้านการจัดการบริหาร นายกษิติ เผยว่า ควรมีการบริหารงานที่โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ส่วนเรื่องของสปอนเซอร์นั้น ตนก็มั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน เหตุมีสปอนเซอร์คอยหนุนหลังอยู่มากมายตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นคอลัมนิสต์ พร้อมชี้ชัด ควรจัดสรรงบประมาณสนับสนุนให้แก่ทุกสโมสรอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงว่าสโมสรนั้นอยู่ในลีกระดับใดของประเทศ “เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่เสียเปรียบสำหรับทีมเล็กๆ ที่ไม่มีกำลังหาสปอนเซอร์มาสนับสนุนอย่างมาก แตกต่างจากบรรดาทีมใหญ่ที่มีผู้สนับสนุนรุมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการจัดสรรงบประมาณของทุกทีมต้องเท่าเทียมกัน ไม่เช่นนั้นการพัฒนาจะเดินหน้าแค่ลีกสูงสุดเพียงอย่างเดียว และไม่เกิดผลกับลีกล่างๆ”
เมื่อถามถึงเรื่องคะแนนเสียงสนับสนุนที่อยู่ด้านหลัง นายกษิติ เผยว่ามีคะแนนเสียงรองรับแล้ว แต่ไม่ขอบอกว่าเป็นใคร พร้อมท้าชนกับผู้สมัครทั้ง 3 คน แบบไม่มีถอย “ไม่ว่าผมจะตัดสินใจลงสนามใด ผมหวังคว้าแชมป์อยู่แล้ว แม้คู่ต่อสู้ของผมจะน่ากลัวแค่ไหน เจอยักษ์ใหญ่แบบไหนก็ไม่กลัว ผมพร้อมสู้แน่นอน หากได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมฯแล้วทำผลงานไม่เป็นไปตามความคาดหวังของแฟนบอลชาวไทย ก็พร้อมรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถเข้ามาทำงานพัฒนาต่อ เพื่อให้วงการฟุตบอลไทยก้าวเข้าสู่ความเจริญอย่างแท้จริง สมกับชื่อสมาคมที่มีคำว่า “แห่งประเทศไทย” ต่อท้ายอยู่ด้านหลัง” เจ้าของตำแหน่งแชมป์แฟนพันธุ์แท้ฝรั่งเศส ทิ้งท้าย