"เสือเตี้ย" สะสม พบประเสริฐ กุนซือใหญ่ของทีม "สิงห์เจ้าท่า" การท่าเรือไทย เอฟซี ยอมรับจ่ออำลาทีมรัก ยืนยันทำเพื่อหารายได้เข้าสโมสรเพื่อประคองจนจบฤดูกาล
แม้สถานการณ์ของสโมสร การท่าเรือไทย เอฟซี ทีมดังแห่งศึกไทยพรีเมียร์ลีก ยังไร้ความชัดเจนจากการที่หน่วยงานต้นสังกัดอย่างการท่าเรือแห่งประเทศไทยไม่ยอมทำบันทึกความเข้าใจ หรือ "เอ็มโอยู" กับบริษัท ซุปเปอร์ริช แบงค็อก จำกัด ผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่เข้ามานั่งเป็นผู้บริหารทีม "สิงห์เจ้าท่า" ในเวลานี้ ส่งผลให้ผู้เล่นในทีมไม่ได้รับเงินเดือนค่าจ้างมาแล้วถึง 2 เดือน จนกระทั่งจำเป็นต้องปล่อยตัวผู้เล่นตัวหลักออกไปเพื่อหารายได้มาพยุงฐานะสโมสร
ซึ่ง "เสือเตี้ย" สะสม พบประเสริฐ กุนซือใหญ่ของทีมที่เตรียมผละจากการท่าเรือฯ หลังได้รับการทาบทามจากทีม "นักรบลาวาเพลิง" บุรีรัมย์ เอฟซี ในศึกดิวิชั่น 1 เปิดเผยถึงปัญหาดังกล่าวว่า "มันเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของผมตั้งแต่รับตำแหน่งผู้จัดการทีมมา ปัญหาความขัดแย้งดังกล่าวเป็นปัญหาระหว่าง การท่าเรือแห่งประเทศไทย กับ การท่าเรือไทย เอฟซี โดยมี ซุปเปอร์ริชฯ อยู่ตรงกลาง ซึ่งเมื่อข่าวดังกล่าวกระจายสู่วงกว้างก็ทำให้เป็นภาพลักษณ์ที่ติดลบกับทีมมากยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งที่ฟุตบอลในบ้านเรากำลังไปได้สวย แต่กลับมีปัญหาแบบนี้มาบ่อนทำลาย"
นอกจากนี้ผู้จัดการทีม "สิงห์เจ้าท่า" กล่าวต่อไปด้วยว่า "ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อทีม และไม่ได้เพิ่งเกิด แต่เป็นมานานแล้ว การที่ผู้เล่นไม่ได้รับเงินเดือนมา 2 เดือน ผมต้องถามพวกเขาว่านัดนี้มีใครอยากลงเล่นบ้าง หรือว่าใครไม่อยากลงสนาม ซึ่งก็เป็นโชคดีที่นักเตะเหล่านี้มีสปิริตเป็นเยี่ยมทุกคนต้องการลงสนาม สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือ พยายามจัดตัวนักเตะลงเล่นอย่างเต็มที่ เพื่อให้พวกเขาได้แสดงศักยภาพเป็นที่ประจักษ์กับทีมคู่แข่ง และทีมอื่นๆ ว่านักเตะเหล่านี้มีดีอย่างไร ซึ่งเมื่อพวกเขาเห็นแล้วย่อมจะอยากนำเงินมาซื้อตัวผู้เล่นของเราไปร่วมทีม"
"สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่าไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร จิตวิทยาที่ผมเฝ้าร่ำเรียนมามันหายไปหมดแล้ว ตอนนี้ให้ไปถามโค้ชทุกคนว่าเมื่อเจอปัญหาเช่นนี้ ผมว่าก็คงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับเรื่องแบบนี้เช่นกัน"
ส่วนประเด็นที่ว่าจะกุนซือร่างเล็กได้รับการทาบทาบจากทีม บุรีรัมย์ เอฟซี นั้น เจ้าตัวยอมรับว่าส่วนตัวแล้วไม่ต้องการ ทว่าเมื่อสถานการณ์มาถึงทางตันก็จำเป็นต้องทำเพื่อทีม "ใครก็ตามที่คิดว่าผมย้ายไปคุมทีมอื่นก็เพื่อเงินแล้วขอให้คิดดูใหม่ หากต้องย้ายไปทำงานต่างจังหวัดสำหรับผมแล้วมีข้อเสียมากมาย ประการแรกคือ ต้องห่างครอบครัว มีเวลาให้ครอบครัวน้อยลง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ปรารถนา ประการถัดมาคือเรื่องการทำงานนอกสนามกับทรูวิชั่นส์ ก็จำเป็นต้องยกเลิกสัญญากันไป เนื่องจากคงไม่สามารถขึ้นเครื่องบินไป-กลับเพื่อทำงานได้ และประการสุดท้าย การที่ผมทำงานกับการท่าเรือไทย เอฟซี ก็มีลูกน้องเป็นมือเป็นเท้าที่คุ้นเคยกันมา เปรียบได้กับเป็นเจ้าป่า แต่หากว่าย้ายไปทำงานที่อื่นก็ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง"
"การย้ายทีมไม่ได้เกิดเพราะตัวผมอยากย้าย แต่เกิดเพราะอยากช่วยสโมสร เมื่อเกิดการย้ายทีมขึ้น สโมสรจะได้รับเงินทุกบาททุกสตางค์เข้ามาพยุงฐานะของทีม เช่นเดียวกับการย้ายทีมของนักเตะทุกคน เงินจำนวนนี้จะช่วยทีมให้แข่งขันได้จนจบฤดูกาล"
ขณะเดียวกันกุนซือปากกล้ากล่าวถึงกรณีที่หากว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย, การท่าเรือไทย เอฟซี และซุปเปอร์ริชฯ สามารถตกลงทำเอ็มโอยูกันได้ว่า "ถ้าเกิดว่าตกลงกันได้ แต่ผู้เล่นต้องลดค่าจ้างตัวเองลงมา 50 % ส่วนตัวมองว่าก็ไม่ควรที่จะอยู่ อีกทั้งมีเวลาตั้ง 3-4 เดือนก่อนหน้านี้แต่ก็ไม่เห็นว่าการท่าเรือแห่งประเทศไทยจะกระตือรือร้นที่จะทำเอ็มโอยูกันเลย มองแล้วเป็นเรื่องยากที่จะตกลงกันได้ ซึ่งหากการท่าเรือแห่งประเทศไทยต้องการนำทีมกลับไปทำเองก็เป็นเรื่องดี ผมและสตาฟฟ์โค้ชทุกคนพร้อมลาออกเปิดทางให้เลย แต่ขอให้จ้างนักเตะเดิมของเรากลับไปด้วย อย่าคิดว่านักเตะพวกนี้เป็นพวกผม หัวแข็งทำงานด้วยไม่ได้ ผมสอนพวกเขาให้รู้จักความเป็นมืออาชีพมากพอที่จะร่วมงานกับใครก็ได้ อีกทั้งการที่เงินเดือนไม่ออกมาแล้วถึง 2 เดือนแต่พวกเขายังทำผลงานได้อย่างเต็มที่นั่นแสดงให้เห็นถึงสปิริตของนักเตะทุกคนเป็นอย่างดี"
พร้อมกันนี้ "เสือเตี้ย" กล่าวถึงผลงานตลอดระยะเวลาที่คุมทีม "สิงห์เจ้าท่า" ด้วยว่า "ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกภูมิใจกับผู้เล่นทุกคน และรู้สึกภูมิใจกับผลงานของสโมสรแห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง แต่ผมไม่ทราบว่าการท่าเรือแห่งประเทศไทยจะภูมิใจเช่นเดียวกันหรือไม่"