กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จับมือ สสส.-สคล.-มูลนิธิเพื่อนเยาวชนฯ รณรงค์ "สนามกีฬาปลอดเหล้า ปลอดบุหรี่" พร้อมติดป้าย ห้ามขาย ห้ามดื่ม รอบสนามแข่งทั่วประเทศ หวังคุมพฤติกรรมแฟนบอล ขณะที่ เครือข่ายเยาวชน สะท้อนข้อมูล กองเชียร์ งดเหล้า-สูบบุหรี่ เกลื่อนสนาม ระบุ หาบเร่ แผงลอย ขายหน้างานโดยไม่มีใบอนุญาตแห่ตั้งบูท ขายของ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน 2554 นางธนิฏฐา เศวตศิลา มณีโชติ รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประธานงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการรณรงค์สนามกีฬาปลอดเหล้า ปลอดบุหรี่ รับเป็นผู้แทนรับมอบ ตราสัญลักษณ์และคำขวัญ เพื่อรณรงค์ให้เขตสนามกีฬาเป็นเขตปลอดเครื่องแอลกอฮอล์ จุดประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและบุคคลเข้าชม การเชียร์กีฬาหรือดำเนินกิจกรรม ด้านกีฬารับรู้ว่าสนามกีฬาเป็นเขตปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเพื่อให้เยาวชน ประชาชนมีส่วนร่วมในการรณรงค์สนามกีฬาเป็นเขตปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และร่วมผลักดันสนามกีฬาปลอดเหล้าแบบอย่าง เป็นการเพื่อสร้างความร่วมมือการทำงานระหว่างหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนในการรณรงค์บังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่ม ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
โดย นางธนิฏฐา เศวตศิลา มณีโชติ รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า "กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬายินดีสนับสนุนมาตรการทางกฎหมาย คือห้ามนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เข้าสนามฟุตบอล และห้ามดื่มขณะชมฟุตบอล โดยได้ติดป้ายเตือนความผิด ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 27 และ 31 ที่กำหนดห้ามขายห้ามดื่มในสถานที่ราชการและสนามกีฬาของราชการ ฝ่าฝืนมีความผิดจำคุกไม่เกิน 6 เดือนปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งนายสมบัติ คุรุพันธ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็เห็นด้วยกับมาตรการนี้มาโดยตลอด อย่างไรก็ตามอยากจะเชิญชวนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนดำเนินกิจกรรมร่วมกันให้สนามกีฬา ทั่วประเทศปลอดเหล้า ปลอดบุหรี่ และเชิญชวนให้คนไทยหันมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี และร่วมเชียร์กีฬา ที่ชื่นชอบ สร้างวัฒนธรรม ในการเชียร์"
ขณะเดียวกัน นายคำรณ ชูเดชา ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา กล่าวว่า "เพื่อไม่ให้ปัญหาการทะเลาะวิวาทรุนแรง ทำลายกีฬาฟุตบอลตามที่เป็นข่าวมาอย่างต่อเนื่อง จึงควรสร้างบรรยากาศการเชียร์ฟุตบอลให้เป็นเหมือนครอบครัว เป็นกีฬาเพื่อความสามัคคี เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเครือข่ายฯได้มีการรณรงค์ห้ามจำหน่ายเหล้า เบียร์ รอบสนามและในสนาม รวมทั้งห้ามดื่มในสนามมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังพบการฝ่าฝืนอยู่บ้าง ซึ่งหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมาตรการหนุนเสริม เช่น ห้ามขาย ห้ามดื่ม รวมไปถึงสนามของเอกชนด้วยก็เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี"
"อีกทั้งมาตรการนี้ไม่ได้เป็นมาตรการที่สุดโต่ง แต่ถือปฏิบัติในหลายประเทศที่เป็นมหาอำนาจลูกหนังโลก เช่น อิตาลี รัสเซีย และบราซิล ซึ่ง การห้ามขายไม่ได้จำกัดเฉพาะบริเวณรอบสนามแข่งเท่านั้น แต่จะครอบคลุมไปถึงพื้นที่สาธารณะอื่นๆ ครอบคลุมเวลาก่อนการแข่งขันและหลังการแข่งขัน ซึ่งจะช่วยยังยั้งพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของกองเชียร์ได้ นอกจากนี้ควรห้ามผู้ที่มีอาการมึนเมา ครองสติไม่ได้เข้าสนามฟุตบอล และควรเพิ่มระบบตรวจอาวุธ เพิ่มเจ้าหน้าที่ รวมถึงติดกล้องวงจรปิด เพื่อเฝ้าระวังพฤติกรรมของแฟนบอล" ผจก. มูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา กล่าวเสริม
ด้าน นางสาวสุมาลี เกตรัตนัง ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ กล่าวว่า "เครือข่ายเยาวชนฯ ได้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจข้อมูล ในระหว่างการแข่งขันฟุตบอลจำนวน 19 สนาม รวม 32 ครั้ง ระหว่างเดือน ก.พ.- เม.ย. 2554 พบว่า ผู้จัดงานส่วนใหญ่ยังรับสปอนเซอร์จากบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และมีการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้นๆ โดยการโฆษณาแฝง จัดโปรโมชั่น กิจกรรม หลอกล่อเยาวชน ตั้งซุ้มขายเบียร์ของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ทั้งนี้บริเวณด้านหน้าสนามแข่ง ยังพบว่า มีร้านค้าแผงลอย การหาบเร่ขายเหล้า เบียร์ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีใบอนุญาตขาย รวมถึงบางสนามยังพบว่ามีการตั้งโต๊ะดื่มเหล้า เบียร์ และสูบบุหรี่ อย่างเป็นทางการระหว่างรอการแข่งขัน และประชาชนบางส่วนยังนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาในลักษณะของขวดน้ำ หรือขวดเครื่องดื่มอื่นๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่เข้มงวดในการควบคุมหรือห้ามปรามตรงจุดนี้"
สำหรับกิจกรรมการประกวด โลโก้ และคำขวัญ "สนามกีฬาปลอดเหล้า ปลอดบุหรี่" โดยป้ายและโลโก้ที่ได้รับเลือกนี้จะนำไปติดที่บริเวณสนามฟุตบอลของทางราชการทุกแห่งทั่วประเทศ ทั้งนี้รายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัล ประเภทคำขวัญ
รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ น.ส.นิธิภรณ์ สุดสูง จ.นครพนม คำขวัญ "ปลอดเหล้าปลอดบุหรี่ ยกศักดิ์ศรีสนามกีฬา"
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 นายกำพล วงค์อนันต์ จ.นครปฐม คำขวัญ "ไร้บุหรี่ ปลอดสุรา สนามกีฬายุคใหม่"
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 นายวรายุทธ โพธิ์ลา กทม. คำขวัญ "สนามกีฬาคนเก่ง คนกล้า บุหรี่สุรา say no"
สำหรับประเภทโลโก้ รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นายภูวเดช พรมเกษา จ.ปทุมธานี, รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 นายสมชาย นิลแก้ว จ.ปทุมธานี และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 นายกิตติบดี บัวหลวงงาม กทม.
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน 2554 นางธนิฏฐา เศวตศิลา มณีโชติ รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประธานงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการรณรงค์สนามกีฬาปลอดเหล้า ปลอดบุหรี่ รับเป็นผู้แทนรับมอบ ตราสัญลักษณ์และคำขวัญ เพื่อรณรงค์ให้เขตสนามกีฬาเป็นเขตปลอดเครื่องแอลกอฮอล์ จุดประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและบุคคลเข้าชม การเชียร์กีฬาหรือดำเนินกิจกรรม ด้านกีฬารับรู้ว่าสนามกีฬาเป็นเขตปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเพื่อให้เยาวชน ประชาชนมีส่วนร่วมในการรณรงค์สนามกีฬาเป็นเขตปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และร่วมผลักดันสนามกีฬาปลอดเหล้าแบบอย่าง เป็นการเพื่อสร้างความร่วมมือการทำงานระหว่างหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนในการรณรงค์บังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่ม ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
โดย นางธนิฏฐา เศวตศิลา มณีโชติ รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า "กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬายินดีสนับสนุนมาตรการทางกฎหมาย คือห้ามนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เข้าสนามฟุตบอล และห้ามดื่มขณะชมฟุตบอล โดยได้ติดป้ายเตือนความผิด ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 27 และ 31 ที่กำหนดห้ามขายห้ามดื่มในสถานที่ราชการและสนามกีฬาของราชการ ฝ่าฝืนมีความผิดจำคุกไม่เกิน 6 เดือนปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งนายสมบัติ คุรุพันธ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็เห็นด้วยกับมาตรการนี้มาโดยตลอด อย่างไรก็ตามอยากจะเชิญชวนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนดำเนินกิจกรรมร่วมกันให้สนามกีฬา ทั่วประเทศปลอดเหล้า ปลอดบุหรี่ และเชิญชวนให้คนไทยหันมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี และร่วมเชียร์กีฬา ที่ชื่นชอบ สร้างวัฒนธรรม ในการเชียร์"
ขณะเดียวกัน นายคำรณ ชูเดชา ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา กล่าวว่า "เพื่อไม่ให้ปัญหาการทะเลาะวิวาทรุนแรง ทำลายกีฬาฟุตบอลตามที่เป็นข่าวมาอย่างต่อเนื่อง จึงควรสร้างบรรยากาศการเชียร์ฟุตบอลให้เป็นเหมือนครอบครัว เป็นกีฬาเพื่อความสามัคคี เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเครือข่ายฯได้มีการรณรงค์ห้ามจำหน่ายเหล้า เบียร์ รอบสนามและในสนาม รวมทั้งห้ามดื่มในสนามมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังพบการฝ่าฝืนอยู่บ้าง ซึ่งหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมาตรการหนุนเสริม เช่น ห้ามขาย ห้ามดื่ม รวมไปถึงสนามของเอกชนด้วยก็เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี"
"อีกทั้งมาตรการนี้ไม่ได้เป็นมาตรการที่สุดโต่ง แต่ถือปฏิบัติในหลายประเทศที่เป็นมหาอำนาจลูกหนังโลก เช่น อิตาลี รัสเซีย และบราซิล ซึ่ง การห้ามขายไม่ได้จำกัดเฉพาะบริเวณรอบสนามแข่งเท่านั้น แต่จะครอบคลุมไปถึงพื้นที่สาธารณะอื่นๆ ครอบคลุมเวลาก่อนการแข่งขันและหลังการแข่งขัน ซึ่งจะช่วยยังยั้งพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของกองเชียร์ได้ นอกจากนี้ควรห้ามผู้ที่มีอาการมึนเมา ครองสติไม่ได้เข้าสนามฟุตบอล และควรเพิ่มระบบตรวจอาวุธ เพิ่มเจ้าหน้าที่ รวมถึงติดกล้องวงจรปิด เพื่อเฝ้าระวังพฤติกรรมของแฟนบอล" ผจก. มูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา กล่าวเสริม
ด้าน นางสาวสุมาลี เกตรัตนัง ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ กล่าวว่า "เครือข่ายเยาวชนฯ ได้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจข้อมูล ในระหว่างการแข่งขันฟุตบอลจำนวน 19 สนาม รวม 32 ครั้ง ระหว่างเดือน ก.พ.- เม.ย. 2554 พบว่า ผู้จัดงานส่วนใหญ่ยังรับสปอนเซอร์จากบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และมีการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้นๆ โดยการโฆษณาแฝง จัดโปรโมชั่น กิจกรรม หลอกล่อเยาวชน ตั้งซุ้มขายเบียร์ของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ทั้งนี้บริเวณด้านหน้าสนามแข่ง ยังพบว่า มีร้านค้าแผงลอย การหาบเร่ขายเหล้า เบียร์ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีใบอนุญาตขาย รวมถึงบางสนามยังพบว่ามีการตั้งโต๊ะดื่มเหล้า เบียร์ และสูบบุหรี่ อย่างเป็นทางการระหว่างรอการแข่งขัน และประชาชนบางส่วนยังนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาในลักษณะของขวดน้ำ หรือขวดเครื่องดื่มอื่นๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่เข้มงวดในการควบคุมหรือห้ามปรามตรงจุดนี้"
สำหรับกิจกรรมการประกวด โลโก้ และคำขวัญ "สนามกีฬาปลอดเหล้า ปลอดบุหรี่" โดยป้ายและโลโก้ที่ได้รับเลือกนี้จะนำไปติดที่บริเวณสนามฟุตบอลของทางราชการทุกแห่งทั่วประเทศ ทั้งนี้รายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัล ประเภทคำขวัญ
รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ น.ส.นิธิภรณ์ สุดสูง จ.นครพนม คำขวัญ "ปลอดเหล้าปลอดบุหรี่ ยกศักดิ์ศรีสนามกีฬา"
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 นายกำพล วงค์อนันต์ จ.นครปฐม คำขวัญ "ไร้บุหรี่ ปลอดสุรา สนามกีฬายุคใหม่"
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 นายวรายุทธ โพธิ์ลา กทม. คำขวัญ "สนามกีฬาคนเก่ง คนกล้า บุหรี่สุรา say no"
สำหรับประเภทโลโก้ รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นายภูวเดช พรมเกษา จ.ปทุมธานี, รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 นายสมชาย นิลแก้ว จ.ปทุมธานี และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 นายกิตติบดี บัวหลวงงาม กทม.