จุดเริ่มต้นหลังออกัสตา

ASTVผู้จัดการรายวัน – ศึกกอล์ฟ "เดอะ มาสเตอร์ส" ครั้งที่ 75 เมเจอร์รายการแรกของปี 2011 ที่สนามออกัสตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จบลงด้วยชัยชนะของ ชาร์ล ชวาร์ทเซล โปรชาวแอฟริกาใต้ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา พร้อมกลายเป็นนักกอล์ฟจากประเทศใต้สุดของทวีปแอฟริกาคนที่สามที่ได้สวมเสื้อ "กรีน แจ็คเกต" ต่อจาก แกรี เพลเยอร์ และ เทรเวอร์ อิมเมลแมน แต่ความสำเร็จของก้านเหล็กวัย 26 ปียังต้องรอการพิสูจน์ต่อไปว่าเขาจะสามารถดำเนินตามรอยเท้าของตำนานอย่าง เพลเยอร์ ที่คว้าเมเจอร์เพิ่มอีกในอนาคตหรือเป็นเพียงผู้ชนะสมัยเดียวอย่าง อิมเมลแมน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าชัยชนะของ ชวาร์ทเซล นอกจากความสามารถส่วนตัวแล้วยังเกิดจากความผิดพลาดของคู่แข่งด้วย

โดย ชวาร์ทเซล เข้าสู่รอบสุดท้ายของเดอะ มาสเตอร์ส ด้วยการมีสกอร์รวมสามวัน 8 อันเดอร์พาร์ ตามหลังผู้นำ รอรีย์ แม็คอิลรอย โปรชาวไอร์แลนด์เหนือห่าง 4 สโตรก ขณะที่ แม็คอิลรอย ตกม้าตายพลาดตีเกิน 8 โอเวอร์พาร์จนทำให้ตำแหน่งแชมป์เปิดกว้าง นอกจาก ชวาร์ทเซล แล้วยังมี เจสัน เดย์ และ อดัม สกอตต์ สองโปรชาวออสเตรเลียน หรือแม้แต่ "พญาเสือ" ไทเกอร์ วูดส์ อดีตโปรมือ 1 ของโลกชาวอเมริกันเข้ามาร่วมวงชิงชัย แต่การเก็บเบอร์ดีรวดใน 4 หลุมสุดท้ายจนจบวันด้วยสกอร์ 6 อันเดอร์พาร์ สกอร์รวมสี่วัน 14 อันเดอร์พาร์ ส่งผลให้โปรชาวแอฟริกาใต้เอาชนะ เดย์ และ สกอตต์ จำนวน 2 สโตรกกลายเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด

ชวาร์ทเซล ซึ่งได้รับการสวมใส่กรีน แจ็คเกต จาก ฟิล มิคเคลสัน แชมป์เก่าปี 2010 และรับเงินรางวัลชนะเลิศ 1.44 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 43.2 ล้านบาท) เปิดเผยหลังคว้าแชมป์เมเจอร์แรกว่า "มันเป็นความฝันของผมและเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม ผมรู้สึกสบายจริงๆแม้ไม่เคยอยู่ในสถานการณ์อย่างในเมเจอร์แบบนี้มาก่อน แต่ผมก็แปลกใจที่ตัวเองควบคุมอารมณ์ได้ดี"

ชัยชนะบนสนามออกัสตาถือเป็นพัฒนาการที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับนักกอล์ฟชาวเมืองโจฮันเนสเบิร์ก เพราะหลังจากเทิร์นโปรเมื่อปี 2002 ก็ประสบความสำเร็จแบบเงียบๆในบ้านเกิด กระทั่งเริ่มทำผลงานโดดเด่นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจนได้เล่นเมเจอร์ครบทั้ง 4 รายการเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2010 ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าชื่อของ ชวาร์ทเซล เป็นที่รู้จักของวงการกอล์ฟโลกมากขึ้นและผู้คนเริ่มรอดูความสำเร็จต่อไปในอนาคตของโปรวัย 26 ปี
ขณะที่ผู้ผิดหวัง แม็คอิลรอย พลาดโอกาสกลายเป็นนักกอล์ฟอายุน้อยที่สุดลำดับสองที่ครองแชมป์เดอะ มาสเตอร์ส ทั้งที่เป็นผู้นำมาตลอดในสามวันแรก แต่วันสุดท้ายโปรวัย 21 ปีแสดง
ให้เห็นความตึงเครียดตั้งแต่เริ่มต้นออกรอบโดยเสีย 2 โบกีจาก 5 หลุมแรก หลังจากนั้นสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายมากขึ้นในหลุมที่ 10 ที่ตีทีออฟเข้าป่าจนเสียทริปเปิลโบกี หลุมถัดมาทำสามพัตต์เสียโบกีและเสียอีกทริปเปิลโบกีในหลุมที่ 12 สุดท้ายจบวันตีเกิน 8 โอเวอร์พาร์ สกอร์รวมเหลือ 4 อันเดอร์พาร์ คว้าเพียงอันดับ 15 ร่วมของรายการ

ความล้มเหลวในครั้งนี้ของโปรหนุ่มผมหยิกทำให้หลายคนมองย้อนกลับไปในการแข่งขันดิ โอเพน เมื่อปี 2010 ที่เขาเป็นผู้นำวันแรกบนสนามเซนต์ แอนดรูวส์ ด้วยสกอร์ 9 อันเดอร์พาร์ ก่อนวันที่สองฟอร์มออกทะเลตีเกิน 8 โอเวอร์พาร์เช่นเดียวกันจนพลาดโอกาสคว้า "คลาเร็ก จักก์" ไป

อย่างไรก็ตาม บาดแผลในครั้งนี้ยังเป็นบทเรียน แม็คอิลรอย เพื่อที่หนุ่มน้อยคนนี้จะได้แก้ตัวใหม่ในอนาคต "ผมต้องมองหาสิ่งที่ดีจากวันนี้และมันก็คือการที่ผมเป็นผู้นำของทัวร์นาเมนท์เป็นจำนวน 63 หลุม มันน่าผิดหวังมากกับผลงานในวันนี้ แต่ผมรู้ว่าผมจะยังมีโอกาสอีกในอนาคต ผมเชื่ออย่างนั้น หวังว่าความผิดพลาดครั้งนี้จะทำให้ผมแกร่งขึ้นเช่นเดียวกัน"

ต่างจากนักกอล์ฟอีกคนที่น่าจะได้ความมั่นใจออกมาจากสนามออกัสตา นั้นคือ "พญาเสือ" ไทเกอร์ วูดส์ อดีตโปรมือ 1 ของโลกชาวอเมริกัน แม้ว่ายังไม่สามารถคว้าแชมป์นับแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2009 แต่โปรวัย 35 ปีก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเว้นแต่รอบที่สาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานวันสุดท้ายที่หวดเพิ่ม 5 อันเดอร์พาร์ สกอร์รวมมี 10 อันเดอร์พาร์ คว้าอันดับ 4 ร่วมของรายการ เช่นเดียวกับปี 2010

"ผมออกสตาร์ทได้ดีในวันนี้ แต่เก้าหลุมหลังทำคะแนนเพิ่มได้อีกทั้งที่น่าจะเก็บได้อีก 3 หรือ 4 อันเดอร์ แต่กลับทำได้เพียงอีเวน ผมตีลูกได้ดีตลอดทั้งวัน เรียกได้ว่าทั้งสัปดาห์เลยทีเดียว ผมมีความสุขกับผลงานที่ออกมา" วูดส์ กล่าวแสดงความมั่นใจและสามารถมองไปถึงเมเจอร์รายการต่อไป "ยูเอส โอเพน" ที่สนามคองเกรสชั่นแนล ในรัฐแมรีแลนด์ ช่วงกลางเดือนมิถุนายน เพื่อจะลุ้นแชมป์เมเจอร์รายการที่ 15 ของตัวเอง