นวพล ตันตระเสนีย์ แข้งทีมชาติไทยชุดปรีโอลิมปิก เดินทางไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังโดน แม็กซิม โอมากอง ศูนย์หน้าจอมโหดสโมสรแบงค็อก ยูไนเต็ด สาวหมัดใส่เต็มหน้าจนสลบเหมือดคาสนาม พร้อมกันนี้ยังทำให้บริเวณใต้ตาขวาแตกต้องเย็บ 7 เข็ม
จากเหตุการณ์ความวุ่นวายเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ในเกมอุ่นเครื่องที่ทีมชาติไทยชุดปรีโอลิมปิก สามารถเบียดเอาชนะ แบ็งค็อก ยูไนเต็ด ไปได้ 3-2 ที่สนามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต ช่วงท้ายเกมปรากฏว่า นวพล ตันตระเสนีย์ แข้งทีมชาติไทย โดน แม็กซิม โอมากอง นักเตะทีมแบงค็อก ยูไนเต็ด สาวหมัดเข้าเต็มหน้าจนสลบคาสนามต้องนำส่งโรงพยาบาล หลังได้รับบาดเจ็บบริเวณใต้ตาขวาแตกเลือดอาบ
ทำให้เมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นายชุมพล ตันตระเสนีย์ พ่อของ นวพล ได้เดินทางเข้าแจ้งความ พร้อมให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน ที่ สภ.คลองหลวง เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับลูกชาย โดยนายชุมพล กล่าวว่า "ผมต้องทำหน้าที่ของพ่อ หลายฝ่ายต้องการให้เรื่องนี้เงียบหายไป ถึงขนาดให้ลูกผมไปโกหกหมอว่าโหม่งบอลแล้วหน้าไปโดนเสาประตู การทำแบบนี้มันไม่ถูก ลูกผมรับใช้ชาติ ทางสตาฟฟ์โค้ชควรจะออกมาดูแลเด็ก ไม่ใช่ปกปิดความผิดแล้วปล่อยให้เรื่องเงียบไปเช่นนี้ ผมเสียใจมากที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ ผมเป็นพ่อเห็นลูกโดนกระทำแบบนี้คงอยู่นิ่งไม่ได้ ผมต้องการเอาเรื่องให้ถึงที่สุด"
ส่วน “เจ้าแบ็ค” นวพล เผยเช่นกัน "แมตช์ดังกล่าวมีการปะทะกันหนักตลอด ซึ่งก็ถือว่าหนักในเกม แต่ปรากฎว่าผมโดน แม็กซิม ต่อยทีเผลอหลายหมัดจนหมดสติไป เมื่อดูจากภาพแล้วพบว่า เมื่อผมหมดสติไป แม็กซิม ยังมาเตะซ้ำที่ชายโครงผมอีก มันไม่ถูกต้องที่มามีพฤติกรรมเช่นนี้ในสนามฟุตบอล จะเล่นหนักก็ควรหนักในเกมการแข่งขัน ผมสวมเสื้อทีมชาติ เป็นนักฟุตบอลทีมชาติ ผมไม่โต้ตอบกลับไป เพราะมันทำใช้เสียชื่อเสียงไปถึงประเทศชาติ การมาแจ้งความวันนี้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเอง เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องคู่กรณีหรือตัวแทนก็ไม่ได้ออกมากล่าวขอโทษเลย"
นอกจากนี้ นวพล ยังกล่าวถึงเรื่องอนาคตทีมชาติ หลังทราบว่ากลุ่มสตาฟฟ์โค้ชของทีมที่ แม็กซิม สังกัดอยู่นั้น ก็เป็นผู้ที่ดูแลทีมชาติชุดนี้อยู่เช่นกัน "ผมเชื่อมั่นว่าผู้ใหญ่ มีคุณธรรม ไม่เชื่อว่านี่จะเป็นเหตุให้ตัวเองต้องหลุดจากทีมชาติ เพราะผมไม่ได้เป็นฝ่ายหาเรื่อง ผมถูกทำร้ายร่างกาย ที่ผ่านมาผมทำหน้าที่เต็มที่เพื่อรับใช้ชาติ ควรแยกแยะว่าผมโดนทำร้ายร่างกาย เพราะผมลงเล่นให้ทีมชาติ การที่นักเตะต่างชาติมาทำกับตัวแทนประเทศแบบนี้มันไม่ถูกต้อง และมันก็เป็นสิทธิของผมที่จะออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเอง"
ด้านนายยรรยง อัครจินดานนท์ ผู้บริหารทีมอินทรีเพื่อนตำรวจ ต้นสังกัดของ นวพล แสดงความคิดเห็นว่า "เรื่องนี้เป็นเรื่องคดีอาญา เป็นกรณีทำร้ายร่างกาย เกิดขึ้นระหว่างบุคคลสองคน นวพล เป็นนักฟุตบอล ในสังกัดของเรา ดังนั้นทีมก็ต้องดูแลเต็มที่ ให้เป็นไปตามครรลองของกฎหมาย โดยสโมสรอินทรีเพื่อนตำรวจมีนโยบายต่อต้านการใช้ความรุนแรงในสนามฟุตบอล เราทุกคนต้องช่วยกันดูแลสังคมนี้ กฎหมายบ้านเมืองก็มีอยู่อย่างชัดเจน สนามฟุตบอลไม่ใช่ที่ยกเว้นให้ใครไปทำอะไรผิดกฎหมายได้ แล้วก็ช่วยๆ กันทำให้เรื่องเงียบหายไป เราอยากให้เรื่องนี้เป็นกรณีตัวอย่าง เพื่อให้พวกที่คุมสติไม่อยู่ ได้มีความยั้งคิดมากขึ้น ไทยลีกฤดูกาลใหม่ ก็จะมีถ่ายทอดทุกนัด ผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกัน ในขณะที่กำลังมีการถ่ายทอดออกทางโทรทัศน์ เพราะจะทำให้เสื่อมเสียต่อวงการฟุตบอลไทย ไปมากกว่านี้"
ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการออกหมายเรียก แม็กซิม เข้ามารับฟังข้อกล่าวหา และให้ปากคำภายใน 1 สัปดาห์ ซึ่งคดีนี้เป็นคดีอาญาที่ไม่สามารถยอมความได้ ซึ่งถ้าพบว่ามีองค์ประกอบครบถ้วนเป็นความผิดจริงตามกฎหมายอาญา โทษสถานเบาที่สุด คือ จำคุก ไม่เกินหนึ่งเดือน ปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
จากเหตุการณ์ความวุ่นวายเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ในเกมอุ่นเครื่องที่ทีมชาติไทยชุดปรีโอลิมปิก สามารถเบียดเอาชนะ แบ็งค็อก ยูไนเต็ด ไปได้ 3-2 ที่สนามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต ช่วงท้ายเกมปรากฏว่า นวพล ตันตระเสนีย์ แข้งทีมชาติไทย โดน แม็กซิม โอมากอง นักเตะทีมแบงค็อก ยูไนเต็ด สาวหมัดเข้าเต็มหน้าจนสลบคาสนามต้องนำส่งโรงพยาบาล หลังได้รับบาดเจ็บบริเวณใต้ตาขวาแตกเลือดอาบ
ทำให้เมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นายชุมพล ตันตระเสนีย์ พ่อของ นวพล ได้เดินทางเข้าแจ้งความ พร้อมให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน ที่ สภ.คลองหลวง เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับลูกชาย โดยนายชุมพล กล่าวว่า "ผมต้องทำหน้าที่ของพ่อ หลายฝ่ายต้องการให้เรื่องนี้เงียบหายไป ถึงขนาดให้ลูกผมไปโกหกหมอว่าโหม่งบอลแล้วหน้าไปโดนเสาประตู การทำแบบนี้มันไม่ถูก ลูกผมรับใช้ชาติ ทางสตาฟฟ์โค้ชควรจะออกมาดูแลเด็ก ไม่ใช่ปกปิดความผิดแล้วปล่อยให้เรื่องเงียบไปเช่นนี้ ผมเสียใจมากที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ ผมเป็นพ่อเห็นลูกโดนกระทำแบบนี้คงอยู่นิ่งไม่ได้ ผมต้องการเอาเรื่องให้ถึงที่สุด"
ส่วน “เจ้าแบ็ค” นวพล เผยเช่นกัน "แมตช์ดังกล่าวมีการปะทะกันหนักตลอด ซึ่งก็ถือว่าหนักในเกม แต่ปรากฎว่าผมโดน แม็กซิม ต่อยทีเผลอหลายหมัดจนหมดสติไป เมื่อดูจากภาพแล้วพบว่า เมื่อผมหมดสติไป แม็กซิม ยังมาเตะซ้ำที่ชายโครงผมอีก มันไม่ถูกต้องที่มามีพฤติกรรมเช่นนี้ในสนามฟุตบอล จะเล่นหนักก็ควรหนักในเกมการแข่งขัน ผมสวมเสื้อทีมชาติ เป็นนักฟุตบอลทีมชาติ ผมไม่โต้ตอบกลับไป เพราะมันทำใช้เสียชื่อเสียงไปถึงประเทศชาติ การมาแจ้งความวันนี้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเอง เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องคู่กรณีหรือตัวแทนก็ไม่ได้ออกมากล่าวขอโทษเลย"
นอกจากนี้ นวพล ยังกล่าวถึงเรื่องอนาคตทีมชาติ หลังทราบว่ากลุ่มสตาฟฟ์โค้ชของทีมที่ แม็กซิม สังกัดอยู่นั้น ก็เป็นผู้ที่ดูแลทีมชาติชุดนี้อยู่เช่นกัน "ผมเชื่อมั่นว่าผู้ใหญ่ มีคุณธรรม ไม่เชื่อว่านี่จะเป็นเหตุให้ตัวเองต้องหลุดจากทีมชาติ เพราะผมไม่ได้เป็นฝ่ายหาเรื่อง ผมถูกทำร้ายร่างกาย ที่ผ่านมาผมทำหน้าที่เต็มที่เพื่อรับใช้ชาติ ควรแยกแยะว่าผมโดนทำร้ายร่างกาย เพราะผมลงเล่นให้ทีมชาติ การที่นักเตะต่างชาติมาทำกับตัวแทนประเทศแบบนี้มันไม่ถูกต้อง และมันก็เป็นสิทธิของผมที่จะออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเอง"
ด้านนายยรรยง อัครจินดานนท์ ผู้บริหารทีมอินทรีเพื่อนตำรวจ ต้นสังกัดของ นวพล แสดงความคิดเห็นว่า "เรื่องนี้เป็นเรื่องคดีอาญา เป็นกรณีทำร้ายร่างกาย เกิดขึ้นระหว่างบุคคลสองคน นวพล เป็นนักฟุตบอล ในสังกัดของเรา ดังนั้นทีมก็ต้องดูแลเต็มที่ ให้เป็นไปตามครรลองของกฎหมาย โดยสโมสรอินทรีเพื่อนตำรวจมีนโยบายต่อต้านการใช้ความรุนแรงในสนามฟุตบอล เราทุกคนต้องช่วยกันดูแลสังคมนี้ กฎหมายบ้านเมืองก็มีอยู่อย่างชัดเจน สนามฟุตบอลไม่ใช่ที่ยกเว้นให้ใครไปทำอะไรผิดกฎหมายได้ แล้วก็ช่วยๆ กันทำให้เรื่องเงียบหายไป เราอยากให้เรื่องนี้เป็นกรณีตัวอย่าง เพื่อให้พวกที่คุมสติไม่อยู่ ได้มีความยั้งคิดมากขึ้น ไทยลีกฤดูกาลใหม่ ก็จะมีถ่ายทอดทุกนัด ผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกัน ในขณะที่กำลังมีการถ่ายทอดออกทางโทรทัศน์ เพราะจะทำให้เสื่อมเสียต่อวงการฟุตบอลไทย ไปมากกว่านี้"
ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการออกหมายเรียก แม็กซิม เข้ามารับฟังข้อกล่าวหา และให้ปากคำภายใน 1 สัปดาห์ ซึ่งคดีนี้เป็นคดีอาญาที่ไม่สามารถยอมความได้ ซึ่งถ้าพบว่ามีองค์ประกอบครบถ้วนเป็นความผิดจริงตามกฎหมายอาญา โทษสถานเบาที่สุด คือ จำคุก ไม่เกินหนึ่งเดือน ปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ