ASTVผู้จัดการรายวัน - สำหรับผู้คนในแวดวงกีฬาไทย คงไม่มีใครไม่รู้จักหนุ่มใหญ่วัย 53 ปี อย่าง "บิ๊กแนต" ชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีที่เคยผ่านมาแล้วหลายเก้าอี้ในคณะรัฐมนตรี อดีตนักการเมืองผู้คร่ำหวอด ก่อนผันตัวเองสู่วงการกีฬา ด้วยความรู้สึกอิ่มตัวทางการเมือง และผ่านการทำงานกับสมาคมกีฬาดังๆ อาทิ ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย, สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย รวมทั้งยังมีตำแหน่งมนตรีซีเกมส์ของประเทศไทย ก่อนจะได้รับตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฮอกกี้แห่งประเทศไทยในปัจจุบัน
โดยทีมข่าว MGR Sport มีโอกาสเข้าพูดคุยกับบุคคลสำคัญแห่งวงการกีฬาไทยรายนี้ถึงคฤหาสน์หรูย่านอ่อนนุช "บิ๊กแนต" เริ่มเปิดใจว่า "ที่หันมาจับงานด้านกีฬา ต้องยอมรับว่าผมรู้สึกอิ่มตัวกับการทำงานการเมืองจึงอยากจับงานด้านอื่นดู ซึ่งงานด้านกีฬาเป็นสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ ผมอยากทำงานเพื่อส่วนรวม ตอนนี้ผมไม่ใช่นักการเมือง และก็ไม่คิดจะกลับไปอีกแล้ว ดังนั้นชื่อเสียงไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ เพียงแต่เห็นว่าตัวเองยังมีประโยชน์ ยังมีความสามารถช่วยเหลือประเทศในด้านกีฬาได้"
ส่วนสาเหตุที่สนใจเข้าทำงานกับสมาคมฮอกกี้แห่งประเทศไทยนั้น "บิ๊กแนต" เผยว่า "ผมรู้จักกับคุณพิเชฐ มั่นคง นายกสมาคมฯ คนเก่าตอนที่ผมยังเป็น รมช.คมนาคม ที่ตอนนั้นท่านเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย จึงอยากจะหันไปทำทีมฟุตบอลการท่าเรือไทย เอฟซี และก็เห็นว่าเราน่าจะช่วยให้สมาคมกีฬานี้มีผลงานขึ้นมาได้ จึงลงรับสมัครเลือกตั้งนายกสมาคมฯ ก่อนได้รับเลือกตั้งมา ต้องบอกก่อนว่ากีฬาชนิดนี้เป็นกีฬาสากลที่บรรจุแข่งขันในโอลิมปิกมาตลอด ดังนั้นผมคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคต แต่ตอนนี้เป้าหมายของผมอยู่แค่ระดับเอเชียก่อน"
"ต้องยอมรับว่า ฮอกกี้ บ้านเรายังไม่ใช่กีฬายอดนิยม ในซีเกมส์เราก็ยังมีคู่แข่งที่เหนือกว่าอย่าง สิงคโปร์ มาเลเซีย เพราะเขาเล่นกันมานาน โดยทีมชายเราเป็นอันดับ 3 ส่วนทีมหญิงนั้นเป็นรองเพียงแค่ มาเลเซีย เท่านั้น เรายังต้องพัฒนากันต่อไป ถ้าเราสามารถผ่านรอบคัดเลือกเข้าไปแข่งขันใน เอเชียนเกมส์ 2010 ที่กวางเจา ประเทศจีนได้ ผมถือว่าได้ทำงานประสบความสำเร็จแล้ว" มนตรีซีเกมส์ของประเทศไทยกล่าว
ขณะเดียวกัน "บิ๊กแนต" นั้นยังเป็นผู้ให้การปลุกปั้น 3 นักเทนนิสสาวดาวรุ่งอย่าง "น้องนก" นพวรรณ เลิศชีวกานต์, "น้องลัก" ลักษิกา คำขำ และ กมลวรรณ บัวแย้ม จนได้รับการสนับสนุนจากการกีฬาแห่งประเทศไทย "ต้องบอกว่านักกีฬาเทนนิสทั้ง 3 คน ไม่ใช่เด็กชัยภักดิ์ เขาเป็นเด็กไทย ได้รับการสนับสนุนจากการกีฬาแห่งประเทศไทย ผมแค่เห็นแวว นำเขามาปลุกปั้น หาโค้ชให้ จ่ายค่าจ้างโค้ช ตอนแรกก็จ่ายคนเดียว แต่หลังจากนั้นก็ได้รับการช่วยเหลือจาก กกท. ถ้วยรางวัลทุกรายการที่นักกีฬาเหล่านี้ได้มา จะกลายเป็นสมบัติของคนไทย ผมภูมิใจที่มีส่วนช่วยพัฒนานักกีฬาเทนนิสไทย"
นอกจากนี้หนุ่มใหญ่วัย 53 ปี ผู้ที่ได้รับการขนานนามเป็น "บิดาแห่งฟุตบอลไทยลีกยุคใหม่" จากการนำเอาฟุตบอลรายการ "โปรวินเชียลลีก" หรือลีกภูมิภาค ที่ได้รับการก่อตั้งสนับสนุนโดย กกท. มารวมกับ "ไทยแลนด์ลีก" ของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย จนกลายเป็น "ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก" พร้อมกับส่งให้ทีมโนเนมจากภูธรอย่าง "ฉลามชล" ชลบุรี เอฟซี ในขณะนั้นคว้าแชมป์ลีกปี 2007 พร้อมสร้างกระแสความนิยมมาถึงปัจจุบัน เผยถึงที่มาแห่งการรวมลีกว่า
"ช่วงนั้นคุณวิจิตร เกตุแก้ว เป็นนายกสมาคมฟุตบอลฯ ส่วนผมเองก็เป็นประธานพัฒนาฟุตบอลแห่งชาติ ขณะที่ สยามกีฬา ซึ่งจัดการแข่งขันไทยแลนด์ลีกมา 8 ปี มาบอกว่าไม่สามารถจัดต่อในปีที่ 9 ได้แล้ว เนื่องจากไม่มีผู้สนับสนุนเพียงพอ จึงได้มีการปรึกษากันว่าน่าจะมีการรวมทั้ง 2 ลีกเข้าด้วยกัน ก็มีการพูดคุยประสานงานกันหลายฝ่าย สุดท้ายจึงเกิดฟุตบอลไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก 2007 มีการตั้งบริษัทจัดการแข่งขันขึ้นมาดำเนินการ โดยมีผมเป็นประธานจัดการแข่งขัน ต่อจากนั้นก็มีการวางแผนเรื่องการประชาสัมพันธ์ ทำถึงขนาดต้องไปขอร้องโทรทัศน์ช่อง 3 แลกกับการนำป้ายเป็นผู้สนับสนุนมาติดในสนามแข่งขัน เพียงเพื่อให้เขารายงานผลการแข่งขันรายการนี้ต่อจากฟุตบอลต่างประเทศ เหนื่อยมากช่วงนั้น กว่าที่มันจะมีวันนี้กันได้"
ทั้งนี้ "บิ๊กแนต" ทิ้งท้ายไว้ว่า "หลังเปลี่ยนแปลงตัวนายกสมาคมฯ ก็มีการดึงฟุตบอลรายการนี้กลับไปจัดเอง พร้อมตั้งบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด ขึ้นมาจัดการแข่งขัน ผมเองเป็นคนมีน้ำใจนักกีฬาและไม่โกรธเคืองใครทั้งสิ้น ทุกวันนี้ผมมีตำแหน่งเป็นสภานายกกิตติมศักดิ์ของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นตำแหน่งตลอดชีพมันเป็นเกียรติยศที่ผมภูมิใจแล้ว แม้ปัจจุบันจะไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก แต่ก็คอยดูความสำเร็จที่มันเกิดขึ้น แม้มันจะยังต้องใช้เวลา ซึ่งผมก็เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดำเนินการไปด้วยดี และดีใจที่เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จนี้"
