ASTVผู้จัดการรายวัน - หลังเกิดเหตุการณ์คาดไม่ถึงในศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน ก เมื่อวันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ระหว่าง "กิเลนผยอง" เมืองทอง หนองจอก ยูไนเต็ด แชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก กับ "สิงห์เจ้าท่า" การท่าเรือไทย เอฟซี แชมป์เอฟเอ คัพ เมื่อแฟนทีมดังจากคลองเตยจำนวนหนึ่งก่อเหตุไล่ตะลุมบอนกับแฟนบอลคู่แข่ง หลังแข่งขันไปถึงนาทีที่ 81 ของเกมการแข่งขัน ขณะที่ทีมแชมป์ไทยลีกนำอยู่ 2-0 พร้อมกับการยุติการแข่งขัน และคว้าแชมป์ไปด้วยสกอร์ดังกล่าว
ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ทีม "สิงห์เจ้าท่า" ถูกสังคมรุมประนามถึงความป่าเถื่อนของแฟนลูกหนัง โดย เจษฎาภรณ์ ณ พัทลุง ในฐานะรองประธานสโมสร กล่าวเปิดเผยความรู้สึกต่อ MGR Sport ว่า "ที่ผ่านมาผมรู้สึกเสียใจกับการกระทำของแฟนฟุตบอลของทีม แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าคนก่อเหตุนั้นไม่ใช่แฟนบอลทั้งหมดของเรา เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งน้อยมาก เมื่อเทียบกับทั้งหมดที่มีอยู่ในสนามแข่งขันวันนั้นกว่า 8,000 คน แต่ขณะนี้คนที่ก่อเรื่องได้เข้ารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป"
อย่างไรก็ตามรองประธานสโมสรการท่าเรือฯ กล่าวต่อไปด้วยว่า "ในวันนั้นไม่ใช่มีแต่แฟนทีมเมืองทองฯ ที่ได้รับบาดเจ็บ แต่ยังมีแฟนบอลของเราเองก็ถูกทำร้ายจากคู่กรณีหลายคนเช่นกัน เพียงแต่เมื่อได้สอบถามไปยังเหยื่อของเหตุการณ์ เขายืนยันว่าไม่ต้องการจะแจ้งความให้เรื่องราวใหญ่โตไปมากกว่านี้ ซึ่งผมขอเรียกร้องความเป็นธรรมผ่านสื่อด้วยว่า แฟนบอลของทีมเราไม่ใช่อันธพาลอย่างที่หลายฝ่ายพยายามขยายความ ต้องยอมรับด้วยว่าขณะนี้มีสื่อกีฬาบางฉบับ รวมถึงรายการโทรทัศน์บางช่องช่วยทำให้สโมสรการท่าเรือฯ กลายเป็นทีมที่คนไทยทั้งประเทศรู้จัก ทั้งที่ความจริงแล้วความผิดหนักไม่ควรต้องอยู่กับเราฝ่ายเดียว"
"หากว่าเกิดการตะลุมบอนกันที่สนามแพท สเตเดียม ของการท่าเรือไทย เอฟซี เราพร้อมยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว อย่างไรก็ตามวันนั้นเรื่องเกิดขึ้นที่สนามศุภชลาศัย ซึ่งเป็นสนามที่เป็นกลาง เราไม่ใช่ฝ่ายจัดการแข่งขัน เราไม่ได้เป็นคนจัดกำลังหน่วยรักษาความปลอดภัย เป็นรายการที่สมาคมฟุตบอลฯ จัดขึ้น โดยหลังเกิดเหตุวุ่นวาย สตาฟฟ์โค้ช และผู้เล่น รวมถึงผู้จัดการทีม และประธานสโมสรเราต้องไปห้ามปราบแฟนบอล เราไม่ได้เชิญให้เขามาตีกัน ไม่ได้ยั่วยุอะไร แต่เรากลับต้องมารับผลของการจัดที่ไม่ได้มาตรฐาน ในวันนั้นหากมีกำลังเจ้าหน้าที่เพียงพอก็จะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น"
ขณะเดียวกันอดีตดาวเตะดังของทีมการท่าเรือกล่าวยอมรับด้วยว่าต่อไปจะต้องมีการอบรมเพื่อสร้างวัฒนธรรมการเชียร์ฟุตบอลใหม่ให้กับแฟนบอล "ตอนนี้เราได้ติดต่อไปยังกรมพลศึกษาเพื่อขอวิทยากรในการอบรบแฟนบอล และผู้เล่นของทีม เราต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และลบภาพความโหดร้ายที่ผ่านมาออกไป"
นอกจากนี้รองประธานทีมการท่าเรือไทย กล่าวต่อไปด้วย "จากนี้เราจะมีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการดูแลความปลอดภัย โดยจะแยกกองเชียร์ทั้ง 2 ฝ่ายอยู่อัฒจันทน์คนละด้าน ซึ่งด้านของทีมเยือนนั้นจะมีทางออกพิเศษสำหรับแฟนทีมเยือน เมื่อจบการแข่งขันก็สามารถเดินออกไปขึ้นรถที่รออยู่ปากทางได้เลย และเราก็จะเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ให้มากกว่าเดิมอีกเท่าตัว รวมถึงอาจจะต้องงดการจำหน่ายเครื่องดืมแอลกอฮอล์ภายในบริเวณสนามเหย้าของเราขอเพียงให้ไทยพรีเมียร์ลีกออกกฎมาให้ชัดเจนเท่านั้น ส่วนความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาเรารับประกันว่าจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก"
ด้าน ดร.วิชิต แย้มบุญเรือง ประธานบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก ผู้จัดการแข่งขันฟุตบอลลีกในประเทศกล่าวถึงการป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นในสนามแข่งขันซึ่งจะเริ่มเปิดฤดูกาลของลีกสูงสุดในวันที่ 13 มีนาคมนี้ว่า "ผมตกใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น และรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของแฟนฟุตบอล แม้เราจะมีมาตรการที่ออกมาแล้วตั้งแต่เมื่อฤดูกาลก่อน แต่ก็ถูกละเลยจากบางสโมสร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแยกแฟนบอลออกจากกัน หรือการรักษาความปลอดภัย รวมถึงหลายสนามมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ สห.ที่น้อยเกินไป ดังนั้นปีนี้เราคงไม่เพิ่มมาตรการอะไร เนื่องจากที่ผ่านมาเรามีสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว เพียงแต่ทุกทีมต้องเข้มงวดในการดูแลรักษาความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น"
ส่วนเรื่องการงดจำหน่ายเครื่องดื่มมึนเมาบริเวณสนามแข่งขันนั้น "ดร.ลูกหนัง" ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก "เรื่องนี้ผมหนักใจเหมือนกัน เพราะการห้ามดื่มเหล้า-เบียร์ในสนามแข่งขันนั้นทำได้ยากมาก พอห้ามเข้า เขาก็ดื่มมาจากด้านนอก หากนำเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์มาตรวจก่อนเข้าสนาม ทีนี้จะตรวจกันอย่างไร ในเมื่อบางสนามมีแฟนบอลเข้าสนามนับหมื่นคน ดังนั้นมาตรการป้องกันทุกอย่างที่เราแจ้งไป ทุกทีมต้องดำเนินการอย่างจริงจังที่สุด"