ทัพลูกหนังทีมชาติไทยต้านทานความแข็งแกร่งของ เดนมาร์ก ไม่อยู่ก่อนพ่ายไปแบบขาดลอย 0-3 ส่งผลให้ "โคนม" คว้าชัยรวด 3 นัด รับแชมป์คิงส์คัพ ครั้งที่ 40 ไปแบบสมศักดิ์ศรี โดยถือเป็นการครองถ้วยพระราชทานสมัยที่ 2 ติดต่อกัน
ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 40 วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553
ไทย 0-3 เดนมาร์ก
แมตช์ส่งท้ายศึกคิงส์คัพที่สนามเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ไทย ลงสนามเผชิญหน้ากับ เดนมาร์ก ท่ามกลางคนดูเต็มความจุ 22,500 คน นัดนี้ “ช้างศึก” พลิกโผด้วยการส่ง ณรงค์ชัย วชิรบาล เพลย์เมกเกอร์ที่เจ็บท้องน้อยมาตลอดลงปั้นเกมตั้งแต่ต้น ส่วน ธีรเทพ วิโนทัย พ้นโทษแบนกลับมายืนหัวหอกคู่กับ กีรติ เขียวสมบัติ ขณะที่ “โคนม” แชมป์เก่าปรับทีมจากนัดถล่ม สิงคโปร์ พอสมควรโดยวาง โซเรน ริสค์ส ล่าตาข่ายร่วมกับ เลคิก ราจโก
โดยก่อนเริ่มเกม สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานคณะกรรมการจัดการแข่งขันกล่าวรายงานต่อ พลเรือเอก ชุมพล ปัจจุสานนท์ องคมนตรีซึ่งเดินทางมายังสนามในฐานะผู้แทนพระองค์ พร้อมทั้งประกาศยอดรายได้จากค่าบัตรผ่านประตูตลอดการแข่งขันทั้ง 3 วันและเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติที่เฮติเป็นจำนวนทั้งสิ้น 4 ล้านบาท
เปิดฉากมาได้ 4 นาที แข้งเดนส์ที่บี้เข้าใส่ทันทีสร้างความหวาดเสียวก่อน ยาค็อบ โพลเซน จ่ายทะลุช่องให้ โยฮัน อับซาลอนเซน ยิงหนีมือ กิตติศักดิ์ ระวังป่า ถากโคนเสาออกหลัง จากนั้น 2 นาที มาร์ติน ออร์นสคอฟ ขึ้นโขกลูกเตะมุมข้ามคาน ก่อนที่ ไทย จะมีโอกาสตอบโต้จากลูกสวนกลับในนาทีที่ 15 แต่ กีรติ ตัดสินใจว่าจะยิงหรือจ่ายให้ ธีรเทพ ช้าเกินไปจึงชวดลุ้นพังประตู
ถึงนาทีที่ 19 โคนมเจาะตาข่ายนำก่อน 1-0 จากลูกเตะมุมฝั่งซ้าย ยาค็อบ โพลเซน เปิดให้ ราจโก ขึ้นโหม่งเต็มศีรษะเข้าไป พอถูกนำ “ช้างศึก” พยายามหาทางจู่โจมบ้างแต่ยังไม่เป็นผล และหวิดโดนยิงเพิ่มในนาทีที่ 31 จากการซัดหักข้อของ โพลเซน ทว่าลูกผ่านเสาไกลออกหลังไปแบบฉิวเฉียด
กระทั่งนาทีที่ 37 เดนมาร์ก ที่บุกกดดันน่ากลัวก็มาหนีออกไปเป็น 2-0 โดย โพลเซน งัดลูกข้ามแผงหลังให้ อับซาลอนเซน จับบอลลงก่อนตะบันหนีมือ กิตติศักดิ์ เสียบมุมไกล ช่วงทดเจ็บครึ่งแรก ธีรเทพ ถูก โพลเซน ตัดเกมได้ฟรีคิก แต่ สุธี อัดไปติดกำแพง จบ 45 นาทีแรก โคนม นำอยู่ 2-0
กลับมาเล่นครึ่งหลัง ไบรอัน ร็อบสัน เปลี่ยนตัวให้ กวิน ธรรมสัจจานันท์ ลงเฝ้าเสาแทน กิตติศักดิ์ ก่อนที่ไทยจะได้จังหวะลุ้นแบบจริงจังครั้งแรกของเกมในนาทีที่ 51 โดย “ลีซอ” โยกหาช่องกดเรียดหลุดเสาแรกออกหลัง 5 นาทีถัดมา กวิน โชว์ความเด็ดขาดออกมาตะครุบบอลจากเท้า โพลเซน ที่สอดทะลุเข้ามาในเขตโทษ นาทีที่ 62 เลออน เยสเซน ปั่นฟรีคิกอ้อมกำแพงเฉี่ยวเสานิดเดียว ก่อนที่ช้างศึกจะส่ง ดัสกร ทองเหลา ลงมาทำเกมแทน ณรงค์ชัย ที่โชว์ฟอร์มไม่ออก
ให้หลัง 2 นาที กีรติ ลองส่องหน้าเขตโทษส่งลูกบดเรียดออกหลัง จากนั้น “ป๊อป” ก็ถูกถอดออกโดยมี อานนท์ สังข์สระน้อย ลงมาล่าตาข่ายแทน นาทีที่ 69 ดัสกร ซัดฟรีคิกไปติดกำแพง ก่อนที่ สุทธินันท์ พุกหอม จะเกือบตีไข่แตกให้ไทยได้จากการยิงยัดมุมแคบผ่านมือ คิม คริสเตนเซน ไปแล้ว แต่ จิม ลาร์เซน ยังหวดเคลียร์ได้บนเส้นประตูอย่างจวนเจียน
8 นาทีสุดท้าย เทิดศักดิ์ ใจมั่น ถูกส่งลงมาแก้เกมแทน ธีรเทพ ทว่ากลับมาโดน เดนมาร์ก ยิงอีกลูกเป็น 3-0 ในนาทีที่ 86 เมื่อ ยอห์นนี ธอมเซน ตัวสำรองผ่านเข้ากลางให้ มาร์ติน เบิร์นเบิร์ก กองหน้าสำรองอีกคนชาร์จผ่าน กวิน ตุงงตาข่าย แม้จะส่ง อนาวิน จูจีน กับ ปิยะชาติ ถามะพันธ์ ลงมาแทน สุรีย์ สุขะ และ รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จบเกม เดนมาร์ก จึงเอาชนะ ไทย ไปด้วยสกอร์ดังกล่าว พร้อมทั้งคว้าถ้วยพระราชทานไปครองเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันด้วยการคว้าชัย 3 นัดรวด
รายชื่อ 11 คนแรกของทั้งสองทีม
ไทย – กิตติศักดิ์ ระวังป่า (ผู้รักษาประตู), สุทธินันท์ พุกหอม, ภานุพงศ์ วงศ์ษา, ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ (กัปตันทีม), รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค, สุรีย์ สุขะ, ชลทิตย์ จันทคาม, ณรงค์ชัย วชิรบาล, สุธี สุขสมกิจ, ธีรเทพ วิโนทัย, กีรติ เขียวสมบัติ
เดนมาร์ก – คิม คริสเตนเซน (ผู้รักษาประตู), ปีเตอร์ นีมันน์, จิม ลาร์เซน, อันเดรส คริสเตนเซน (กัปตันทีม), เลออน เยสเซน, มาร์ติน ออร์นสคอฟ, ยาค็อบ โพลเซน, โยฮัน อับซาลอนเซน, ไมเคิล โครห์น, โซเรน ริสค์ส, เลคิก ราจโก
สรุปผลงานคิงส์ คัพ ครั้งที่ 40
1.เดนมาร์ก แข่ง 3 นัด มี 9 คะแนน (ได้ 11 เสีย 2)
2.โปแลนด์ แข่ง 3 นัด มี 6 คะแนน (ได้ 10 เสีย 5)
3.ไทย แข่ง 3 นัด มี 3 คะแนน (ได้ 2 เสีย 6)
4.สิงคโปร์ แข่ง 3 นัด มี 0 คะแนน (ได้ 2 เสีย 12)
