ซานดิอาโก ชาร์จเจอร์ส ปราชัยครั้งแรกในรอบ 12 เกมหลังสุด แต่ความพ่ายแพ้คาถิ่นต่อ นิวยอร์ก เจ็ตส์ อย่างพลิกล็อก 14-17 ทำให้ต้องหยุดเส้นทางในเพลย์ออฟของศึกอเมริกัน ฟุตบอล เอ็นเอฟแอล (NFL) ไว้เพียงแค่รอบดิวิชันนัล ฝั่งเอเอฟซี (AFC)
ที่ซานดิอาโก : แฟนๆ "สายฟ้าฟาด" ต่างส่งเสียงโห่ใส่ ซานดิอาโก ชาร์จเจอร์ส ที่มาบู่เอาในครึ่งหลัง โดน นิวยอร์ก เจ็ตส์ ไล่กดดันจนเสียเทิร์นโอเวอร์ แถมยังผิดพลาดมหาศาลในการเตะฟิลด์โกล เป็นเหตุผลให้ทีมสถิติอันดับ 2 ของ AFC ไม่ได้ไปต่อในเกมชิงแชมป์สายอย่างน่าเสียดาย
แม้ เนด เคดดิง จะพลาดฟิลด์โกลประเดิมโพสต์ซีซันในปีนี้ แต่ ฟิลิป ริเวอร์ส แก้ตัวให้ทีมด้วยการขว้างทัชดาวน์ 13 หลาเข้ามือ คริส วิลสัน แต่จบครึ่งแรกทีมเยือนไล่เหลือ 3-7 จากฟิลด์โกล 46 หลาของ เจย์ ฟีลีย์ ลงมาลุยต่อครึ่งหลัง เจ็ตส์ ยังอยู่ในเกมได้เพราะ "ทีมรับ" อันแข็งแกร่ง ยื้อเอาไว้จนกระทั่งควอเตอร์สุดท้าย มาร์ค ซานเชซ ควอเตอร์แบ็กรุคกีทีมเยือนขว้าง 2 หลาให้ ดัสติน เคลเลอร์ รับเป็นสกอร์พลิกนำ จากนั้น ชอนน์ กรีน โชว์ทีเด็ดวิ่งทะลวงตรงกลาง 53 หลาเข้าเอ็นด์โซน เจ็ตส์ นำห่าง 17-7
เจ้าบ้านมีโอกาสเขยิบเข้าใกล้แต่ เคดดิง พลาดไปอีก 2 ฟิลด์โกล แม้ ริเวอร์ส ใช้การสนีคเข้าเอ็นด์โซนระยะ 1 หลา ก่อนหมดเวลา 2.14 นาที แต่การตัดสินใจเตะออนไซด์คิกแล้วโดนทีมพิเศษเจ็ตส์กระโจนรับบอลได้ ทำให้ ชาร์จเจอร์ส ต้องตั้งรับในแดนตัวเอง และก็อุดไม่อยู่โดน กรีน วิ่งเปลี่ยนดาวน์ที่ 4 ก่อนที่ ซานเชซ จะลงมาคุกเข่าปิดเกม เจ็ตส์ พลิกชนะ 17-14 สัปดาห์หน้าต้องไปเยือน อินเดียนาโปลิส โคลต์ส ที่ลูคัส ออยล์ สเตเดียม ซึ่งสัปดาห์ที่ 15 ของฤดูกาลปกติ เร็กซ์ ไรอัน หัวหน้าโค้ชคนเก่งเคยพาทีมไปเก็บชัยมาแล้ว เพียงแต่ครั้งนั้น จิม คัลด์เวลล์ เฮดโค้ชผิวสีเลือกเก็บผู้เล่นกำลังสำคัญของ "เกือกม้า" ในครึ่งหลัง
ส่วนสถิติในเกมนี้ ซานเชซ ขว้างบอลให้เจ็ตส์ 23 ครั้ง เข้าเป้า 12 หน ได้ระยะ 100 หลาพอดี 1 ทัชดาวน์ เสียหนึ่งอินเทอร์เซปต์ กรีน ถือบอลวิ่งทะลวง 23 ครั้ง ได้ระยะ 128 หลา (เกินร้อยหลาสองเกมติดในเพลย์ออฟ) กับอีก 1 สกอร์ ด้าน ริเวอร์ส ขว้างเข้าเป้า 27 จาก 40 ครั้ง ได้ระยะ 298 หลา 1 ทัชดาวน์ แต่เสียถึง 2 อินเทอร์เซปต์ในครึ่งหลัง ดาร์เรน สโปรล์ส รันนิงแบ็กร่างจิ๋ววิ่งแค่ 33 หลา
ที่ซานดิอาโก : แฟนๆ "สายฟ้าฟาด" ต่างส่งเสียงโห่ใส่ ซานดิอาโก ชาร์จเจอร์ส ที่มาบู่เอาในครึ่งหลัง โดน นิวยอร์ก เจ็ตส์ ไล่กดดันจนเสียเทิร์นโอเวอร์ แถมยังผิดพลาดมหาศาลในการเตะฟิลด์โกล เป็นเหตุผลให้ทีมสถิติอันดับ 2 ของ AFC ไม่ได้ไปต่อในเกมชิงแชมป์สายอย่างน่าเสียดาย
แม้ เนด เคดดิง จะพลาดฟิลด์โกลประเดิมโพสต์ซีซันในปีนี้ แต่ ฟิลิป ริเวอร์ส แก้ตัวให้ทีมด้วยการขว้างทัชดาวน์ 13 หลาเข้ามือ คริส วิลสัน แต่จบครึ่งแรกทีมเยือนไล่เหลือ 3-7 จากฟิลด์โกล 46 หลาของ เจย์ ฟีลีย์ ลงมาลุยต่อครึ่งหลัง เจ็ตส์ ยังอยู่ในเกมได้เพราะ "ทีมรับ" อันแข็งแกร่ง ยื้อเอาไว้จนกระทั่งควอเตอร์สุดท้าย มาร์ค ซานเชซ ควอเตอร์แบ็กรุคกีทีมเยือนขว้าง 2 หลาให้ ดัสติน เคลเลอร์ รับเป็นสกอร์พลิกนำ จากนั้น ชอนน์ กรีน โชว์ทีเด็ดวิ่งทะลวงตรงกลาง 53 หลาเข้าเอ็นด์โซน เจ็ตส์ นำห่าง 17-7
เจ้าบ้านมีโอกาสเขยิบเข้าใกล้แต่ เคดดิง พลาดไปอีก 2 ฟิลด์โกล แม้ ริเวอร์ส ใช้การสนีคเข้าเอ็นด์โซนระยะ 1 หลา ก่อนหมดเวลา 2.14 นาที แต่การตัดสินใจเตะออนไซด์คิกแล้วโดนทีมพิเศษเจ็ตส์กระโจนรับบอลได้ ทำให้ ชาร์จเจอร์ส ต้องตั้งรับในแดนตัวเอง และก็อุดไม่อยู่โดน กรีน วิ่งเปลี่ยนดาวน์ที่ 4 ก่อนที่ ซานเชซ จะลงมาคุกเข่าปิดเกม เจ็ตส์ พลิกชนะ 17-14 สัปดาห์หน้าต้องไปเยือน อินเดียนาโปลิส โคลต์ส ที่ลูคัส ออยล์ สเตเดียม ซึ่งสัปดาห์ที่ 15 ของฤดูกาลปกติ เร็กซ์ ไรอัน หัวหน้าโค้ชคนเก่งเคยพาทีมไปเก็บชัยมาแล้ว เพียงแต่ครั้งนั้น จิม คัลด์เวลล์ เฮดโค้ชผิวสีเลือกเก็บผู้เล่นกำลังสำคัญของ "เกือกม้า" ในครึ่งหลัง
ส่วนสถิติในเกมนี้ ซานเชซ ขว้างบอลให้เจ็ตส์ 23 ครั้ง เข้าเป้า 12 หน ได้ระยะ 100 หลาพอดี 1 ทัชดาวน์ เสียหนึ่งอินเทอร์เซปต์ กรีน ถือบอลวิ่งทะลวง 23 ครั้ง ได้ระยะ 128 หลา (เกินร้อยหลาสองเกมติดในเพลย์ออฟ) กับอีก 1 สกอร์ ด้าน ริเวอร์ส ขว้างเข้าเป้า 27 จาก 40 ครั้ง ได้ระยะ 298 หลา 1 ทัชดาวน์ แต่เสียถึง 2 อินเทอร์เซปต์ในครึ่งหลัง ดาร์เรน สโปรล์ส รันนิงแบ็กร่างจิ๋ววิ่งแค่ 33 หลา
