มหกรรมกีฬาซีเกมส์ช่วงนี้มีกีฬาเพียงแค่ ฟุตบอล กับ โปโลน้ำ เท่านั้นที่เริ่มแข่งขันกันก่อนใครเพื่อน ทำให้พอมีเวลาที่จะตามติดเกมฟาดแข้งของทีมอื่นนอกเหนือจากทีมชาติไทย ดังนั้นเมื่อวันศุกร์ที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา หลังจบคู่ “ช้างศึก” ถล่มเอาชนะ กัมพูชา 4-0 ที่สนามเจ้าอนุวงศ์ จึงถือโอกาสนั่งดูน้องนุชสุดท้องในย่านเอเชียอาคเนย์อย่าง “ติมอร์-เลสเต” เผชิญหน้ากับ “เวียดนาม” ต่อ ซึ่งนัดแรก ติมอร์ ตกอยู่ในสภาพน่าสงสารจากการโดน มาเลเซีย ยิงยับเยินถึง 11-0
ก่อนบอลจะเริ่มเขี่ยก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับชาติที่เพิ่งแยกตัวมาจาก อินโดนีเซีย ทีมนี้ แต่เมื่อผ่านไปสักพัก ติมอร์ กลับสร้างความลำบากใจให้กับนักเตะเหงียนได้ไม่น้อย ด้วยกลยุทธการเล่นแบบเจียมตัว ทว่ามีประสิทธิภาพอย่างเหลือเชื่อโดยการบีบพื้นที่ตรงกลางให้แน่น เข้าประชิดตัวทุกจังหวะ พร้อมทั้งทิ้ง บาร์โตโลมิว วาลาดาเรส ที่มีความเร็วสูงและครองบอลดีไว้ข้างหน้าเพียงคนเดียว ซึ่ง ติมอร์ ก็สามารถสร้างเซอร์ไพรส์เล็กๆ ได้ด้วยการยันเสมอ 0-0 ในครึ่งแรก ซ้ำยังมีลุ้นพังประตูในนาทีที่ 41 ด้วย แต่ บาร์โตโลมิว กลับหวดโดนไม่เต็มเท้า
ระหว่างเกมผมมีโอกาสได้คุยกับ อเล็กซานดริโน ดา คอสตา โค้ชเทควันโดของติมอร์ที่ตามมาให้กำลังใจอย่างใกล้ชิดร่วมกับ อมารัค เดอ อเราโจลี เรคาดินา ผู้สื่อข่าวสาวเพื่อนร่วมชาติที่ส่งเสียงตะโกนเชียร์อย่างไม่กลัวเจ็บคอ แต่เมื่อถามว่าอยากให้เกมจบด้วยผลเสมอหรือไม่ อเล็กซานดริโน กลับส่ายหัวแล้วตอบแบบยอมรับความจริงว่ามาตรฐานของ ติมอร์ ยังห่างไกลจาก เวียดนาม นัก ตอนนี้ขอเพียงแค่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในซีเกมส์ไปก่อน ซึ่งลงท้ายแล้ว ติมอร์ ก็ต้านทานเกมรุกของผู้เล่นเหงียนไม่อยู่พ่ายไป 0-4
ข้ามมาวันเสาร์ที่ 5 ธันวาคมก็ยังไม่ถึงโปรแกรมลงแข่งของฟุตบอลทีมชาติไทยทั้งชายและหญิงอยู่ดี แต่ก็มีความน่าสนใจอยู่ที่การประเดิมสนามนัดแรกในสายบี ของ “ลาว” ซึ่งเกมนี้แฟนลูกหนังของเจ้าภาพยกโขยงกันมาจับจองที่นั่งในสนามกีฬาแห่งชาติ หลัก 16 เกินความจุ 20,000 คน ตลอดจนส่งเสียงเชียร์และสร้างบรรยากาศให้คึกคักตลอด 90 นาทีจนแทบสังเกตไม่เห็นกองเชียร์คู่แข่งอย่าง เมียนมาร์ เลย และแน่นอนว่าสตาร์ดังที่คนลาวพร้อมใจกันกรี๊ดสนั่นตอนโฆษกประกาศชื่อย่อมหนีไม่พ้น “ลำเนา สิงโต” ศูนย์หน้าที่ค้าแข้งในไทยพรีเมียร์ลีกกับ บุรีรัมย์-กฟภ.
ทันทีที่สิ้นเสียงนกหวีดแรก ผมรู้สึกได้ถึงความสำคัญของ “ผู้เล่นคนที่ 12” อย่างกองเชียร์ ซึ่งเสียงกระตุ้นอันดังกระหึ่มมีส่วนผลักดันให้ขุนแข้งลาวมีแรงวิ่งสู้ฟัดมากผิดปกติ แม้จะตกเป็นฝ่ายตามหลังก่อนในนาทีที่ 42 จากจังหวะโดนโต้กลับแล้วถูก คยอ ธิฮา แตะหลบผู้รักษาประตูเข้าไปยิงมุมแคบ แต่ที่สุดแล้วนักเตะเจ้าถิ่นภายใต้การคุมทีมของ อัลเฟรด รีเดิล อดีตโค้ชเวียดนามชาวออสเตรียก็มาตีเจ๊า 1-1 ได้จากฝีเท้าของ คำเพ็ง ไสยะวุดทิ คู่หูในแดนหน้าของ ลำเนา ซึ่งโดดเด่นมากพอที่จะรับตำแหน่งแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ได้สบายๆ
การดูฟอร์มของทีมชาติอื่นมา 2 วัน ทำให้ผมได้เปิดหูเปิดตาว่า ไทย จะประมาทชาติอื่นอีกไม่ได้แล้ว แม้กระทั่ง ติมอร์ หรือ ลาว ที่ทำผลงานได้ประทับใจแฟนบอลของตัวเองถึงจะคว้าชัยชนะไม่ได้ก็ตาม แต่หากโคจรมาเจอกันก็คงยากที่จะเคี้ยวลง ซึ่งผมเชื่อว่า สตีฟ ดาร์บี เฮดโค้ชช้างศึกชุดเวียงจันทน์เกมส์ที่มาสังเกตการณ์ด้วยคงจะคิดไม่ต่างกัน