คอลัมน์ "หัวใจในกีฬา" โดย จำลอง ฝั่งชลจิตร
ทีมระดับ “บิ๊กโฟร์”ของพรีเมียร์ชิป เชลซี,อาร์เซนอล,แมนฯ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูล ยามนี้ลิเวอร์พูลเป็นทีมทายผลยากที่สุด
ไม่ต้องถึงขนาดฟันธงว่าแพ้ชนะครึ่งลูกหรือลูกครึ่ง แค่ผลแพ้หรือชนะตามธรรมเนียมก็ยากกว่าอีก 3 ทีม
ชัยชนะเหนือแมนฯ ยูฯ 2-0 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นเพียงยาบำบัดเฉพาะกิจเฉพาะโรค ไม่ได้สร้างจุดเปลี่ยนให้ทีม นักเตะทุกคนมีแรงจูงใจที่จะต้องเอาชนะคู่แข่งเก่าแก่ให้ได้ เกมบุกพ่ายฟูแล่ม 3-1 เมื่อคืนวันเสาร์เปรียบเสมือนฟิล์มเอ็กซ์-เรย์ ทีมนี้ยังมีโรคภายในอีกหลายรายการ รวมทั้งโรคติดเชื้ออีกต่างหาก
โรคติดเชื้อหมายถึงข่าวว่า รีล มาดริด อยากได้ตัวทั้งสตีเว่น เจอร์ราร์ด และ ราฟาเอล เบนิเตซ ซึ่งอาจทำให้นักเตะบางคนฟอร์มแกว่ง
ชัยชนะของฟูแล่ม 3-1 ไม่ฟลุ๊กแน่นอน เพราะพวกเขายิงประตูแรกออกนำตั้งแต่นาที 24 เฟร์นานโด ตอร์เรส ตีเสมอนาที 42 อีริค เนฟแลนด์ยิงให้เจ้าบ้านออกนำ 2-1 นาทีที่ 82และ 84 ฟิลิป เดเก้น กับเจมี่ คาร์ราเกอร์ โดนใบแดงเต็มใบ—ไม่ใช่เหลืองที่สอง ประตูตอกฝาโลงของเจ้าบ้านเกิดนาทีที่ 87 จากฝีเท้าคลินตัน เด็มป์ซีย์ เหมือนยิงสั่งสอนสองกองหลังทีมเยือนให้รู้จักระงับอารมณ์
ฟูแล่มของรอย ฮ็อดจ์สัน ทีมนี้ไม่ธรรมดา ฤดูกาลที่แล้วฟอร์มในบ้านสุดแข็ง จนสามารถนำทีมเข้าไปเล่นยูโรป้า ลีก ปีนี้เกมรับในบ้านยังไม่เข้าฝัก ชัยชนะเหนือลิเวอร์พูลน่าจะเป็นบทพิสูจน์ว่าพวกเขากำลังกลับมาเข้าฝัก
ด้าน“ราฟา” เล่นเกมของตัวเองบนกระดาษโน้ตมากเกินไป นักเตะกลายเป็นหมากเบี้ยจะเดินจะถอดก็ทำตามใจชอบ เหมือนไม่ไว้วางใจนักเตะเอาเสียเลย แฟน ๆ เลยขัดใจไปตาม ๆ กัน
คนที่เฝ้ามองเกมของลิเวอร์พูลอย่างใจจดใจจ่อน่าจะเป็นมาร์ค ฮิวจส์ กุนซือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผู้กล้าประกาศเปรี้ยงว่า “บิ๊กโฟร์” กำลังจะสิ้นมนต์ขลัง คืนวันอาทิตย์แมนฯ ซิตี้จะบุกเยือนเบอร์มิงแฮม ถ้าชนะจะแซงขึ้นไปอยู่อันดับ 4 ตามหลังเชลซี,แมนฯ ยูฯ และอาร์เซนอล
สัปดาห์ที่แล้ว โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ กุนซือวีแกนออกปากวิจารณ์เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ว่าเป็นทำตัวมาเฟียของพรีเมียร์ชิป โดยมีกุนซือร่วมลีกอีกสามสี่คนเป็นสมัครพรรคพวก จนถูกแซม อัลลาร์ไดซ์ กุนซือแบล็คเบิร์น โรเวอร์ ต้องออกมาบอกให้รีบหุบปาก มาติเนซใช้คำว่า “มาเฟีย” ซึ่งหนักเกินไป ป้ายสีให้พรีเมียร์ลีกดำมืดเสียเปล่าๆ การปะทะคารมระหว่างกุนซือพรีเมียร์ลีกไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน ไม่ว่าใครกับใคร แทบไม่มีคำว่า “มาเฟีย” หลุดออกมา การต่อปากต่อคำ การปะทะอารมณ์ เป็นเรื่องของมืออาชีพและเป็นไปตามเกม
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน , อาร์แซน เวนเกอร์, รอย ฮ็อดจ์สัน, เดวิด มอยส์,แซม อัลลาร์ไดซ์, มาร์ติน โอนีล, มาร์ค ฮิวจส์,สตีฟ บรู๊ซ และ แฮร์รี่ เร็ดแนปป์ เป็นผู้จัดการทีมมืออาชีพ พวกเขาเป็นมิตรและเคารพต่อกัน
ก่อนเปิดบ้านเกมวันเสาร์กับแบล็คเบิร์นฯ “เฟอร์กี้” โทร.หาแซม อัลลาร์ไดซ์ สอบอาการนักเตะหลายคนที่ป่วยเป็นไข้หวัดมาตั้งแต่เกมพ่ายเชลซียับเยิน 5-0 อาวุโสพรีเมียร์สอบถามเพื่อนพ้องร่วมอาชีพอย่างเห็นอกเห็นใจ เมื่อผู้บริหารพลีเมียร์ลีกไม่เลื่อนเกมจึงต้องดำเนินต่อไป
สภาพทีมตอนนี้แมนฯ ยูฯ เอาพอชนะแบล็คเบิร์นฯ 2-0 นับว่าสมเหตุสมผล ไม่ต้องถลุงชนิดไม่ไว้หน้าอย่างเชลซี ในเกมนี้หากมองลึก ๆ ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ดีกว่าผลประตูได้เสีย
โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ ยังหนุ่มเกินไป และเพิ่งขึ้นมารับงานในพรีเมียร์ชิป คืนวันเสาร์วีแกนบุกไปให้ปอร์ทสมัธถล่ม 4-0 กุนซือหนุ่มจากสเปนยังมีงานในสนามให้ทำอีกเยอะ
ทีมระดับ “บิ๊กโฟร์”ของพรีเมียร์ชิป เชลซี,อาร์เซนอล,แมนฯ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูล ยามนี้ลิเวอร์พูลเป็นทีมทายผลยากที่สุด
ไม่ต้องถึงขนาดฟันธงว่าแพ้ชนะครึ่งลูกหรือลูกครึ่ง แค่ผลแพ้หรือชนะตามธรรมเนียมก็ยากกว่าอีก 3 ทีม
ชัยชนะเหนือแมนฯ ยูฯ 2-0 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นเพียงยาบำบัดเฉพาะกิจเฉพาะโรค ไม่ได้สร้างจุดเปลี่ยนให้ทีม นักเตะทุกคนมีแรงจูงใจที่จะต้องเอาชนะคู่แข่งเก่าแก่ให้ได้ เกมบุกพ่ายฟูแล่ม 3-1 เมื่อคืนวันเสาร์เปรียบเสมือนฟิล์มเอ็กซ์-เรย์ ทีมนี้ยังมีโรคภายในอีกหลายรายการ รวมทั้งโรคติดเชื้ออีกต่างหาก
โรคติดเชื้อหมายถึงข่าวว่า รีล มาดริด อยากได้ตัวทั้งสตีเว่น เจอร์ราร์ด และ ราฟาเอล เบนิเตซ ซึ่งอาจทำให้นักเตะบางคนฟอร์มแกว่ง
ชัยชนะของฟูแล่ม 3-1 ไม่ฟลุ๊กแน่นอน เพราะพวกเขายิงประตูแรกออกนำตั้งแต่นาที 24 เฟร์นานโด ตอร์เรส ตีเสมอนาที 42 อีริค เนฟแลนด์ยิงให้เจ้าบ้านออกนำ 2-1 นาทีที่ 82และ 84 ฟิลิป เดเก้น กับเจมี่ คาร์ราเกอร์ โดนใบแดงเต็มใบ—ไม่ใช่เหลืองที่สอง ประตูตอกฝาโลงของเจ้าบ้านเกิดนาทีที่ 87 จากฝีเท้าคลินตัน เด็มป์ซีย์ เหมือนยิงสั่งสอนสองกองหลังทีมเยือนให้รู้จักระงับอารมณ์
ฟูแล่มของรอย ฮ็อดจ์สัน ทีมนี้ไม่ธรรมดา ฤดูกาลที่แล้วฟอร์มในบ้านสุดแข็ง จนสามารถนำทีมเข้าไปเล่นยูโรป้า ลีก ปีนี้เกมรับในบ้านยังไม่เข้าฝัก ชัยชนะเหนือลิเวอร์พูลน่าจะเป็นบทพิสูจน์ว่าพวกเขากำลังกลับมาเข้าฝัก
ด้าน“ราฟา” เล่นเกมของตัวเองบนกระดาษโน้ตมากเกินไป นักเตะกลายเป็นหมากเบี้ยจะเดินจะถอดก็ทำตามใจชอบ เหมือนไม่ไว้วางใจนักเตะเอาเสียเลย แฟน ๆ เลยขัดใจไปตาม ๆ กัน
คนที่เฝ้ามองเกมของลิเวอร์พูลอย่างใจจดใจจ่อน่าจะเป็นมาร์ค ฮิวจส์ กุนซือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผู้กล้าประกาศเปรี้ยงว่า “บิ๊กโฟร์” กำลังจะสิ้นมนต์ขลัง คืนวันอาทิตย์แมนฯ ซิตี้จะบุกเยือนเบอร์มิงแฮม ถ้าชนะจะแซงขึ้นไปอยู่อันดับ 4 ตามหลังเชลซี,แมนฯ ยูฯ และอาร์เซนอล
สัปดาห์ที่แล้ว โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ กุนซือวีแกนออกปากวิจารณ์เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ว่าเป็นทำตัวมาเฟียของพรีเมียร์ชิป โดยมีกุนซือร่วมลีกอีกสามสี่คนเป็นสมัครพรรคพวก จนถูกแซม อัลลาร์ไดซ์ กุนซือแบล็คเบิร์น โรเวอร์ ต้องออกมาบอกให้รีบหุบปาก มาติเนซใช้คำว่า “มาเฟีย” ซึ่งหนักเกินไป ป้ายสีให้พรีเมียร์ลีกดำมืดเสียเปล่าๆ การปะทะคารมระหว่างกุนซือพรีเมียร์ลีกไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน ไม่ว่าใครกับใคร แทบไม่มีคำว่า “มาเฟีย” หลุดออกมา การต่อปากต่อคำ การปะทะอารมณ์ เป็นเรื่องของมืออาชีพและเป็นไปตามเกม
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน , อาร์แซน เวนเกอร์, รอย ฮ็อดจ์สัน, เดวิด มอยส์,แซม อัลลาร์ไดซ์, มาร์ติน โอนีล, มาร์ค ฮิวจส์,สตีฟ บรู๊ซ และ แฮร์รี่ เร็ดแนปป์ เป็นผู้จัดการทีมมืออาชีพ พวกเขาเป็นมิตรและเคารพต่อกัน
ก่อนเปิดบ้านเกมวันเสาร์กับแบล็คเบิร์นฯ “เฟอร์กี้” โทร.หาแซม อัลลาร์ไดซ์ สอบอาการนักเตะหลายคนที่ป่วยเป็นไข้หวัดมาตั้งแต่เกมพ่ายเชลซียับเยิน 5-0 อาวุโสพรีเมียร์สอบถามเพื่อนพ้องร่วมอาชีพอย่างเห็นอกเห็นใจ เมื่อผู้บริหารพลีเมียร์ลีกไม่เลื่อนเกมจึงต้องดำเนินต่อไป
สภาพทีมตอนนี้แมนฯ ยูฯ เอาพอชนะแบล็คเบิร์นฯ 2-0 นับว่าสมเหตุสมผล ไม่ต้องถลุงชนิดไม่ไว้หน้าอย่างเชลซี ในเกมนี้หากมองลึก ๆ ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ดีกว่าผลประตูได้เสีย
โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ ยังหนุ่มเกินไป และเพิ่งขึ้นมารับงานในพรีเมียร์ชิป คืนวันเสาร์วีแกนบุกไปให้ปอร์ทสมัธถล่ม 4-0 กุนซือหนุ่มจากสเปนยังมีงานในสนามให้ทำอีกเยอะ