คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน
เมื่อฟุตบอล ไทย พรีเมียร์ ลีก 2009 ปิดฤดูกาลลง หลายคนคงนึกเสียดายว่า มันจบเร็วไปหน่อย และต้องตั้งตารอคอยอีกหลายเดือน กว่าจะได้กลับมาพบกับบรรยากาศความมันกันใหม่ในปีหน้า ซึ่งหลายคนยอมรับว่า ปีนี้เป็นปรากฏการณ์ใหม่ในวงการฟุตบอลของประเทศไทย แต่ละนัดมีแฟนบอลเข้าชมหลายพันคน บางนัดเหยียบหมื่น ซึ่งก็เป็นอย่างนี้ตลอดฤดูกาล ความนิยมเป็นกระแสที่ช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมการชมกีฬาจากการนอนดูทางโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน มาเป็นการยอมสละเวลา ฝ่ารถติด เดินทางมาชมและเชียร์ทีมโปรดยังสนามแข่งขัน ดังนั้น มันคงถึงเวลาที่หลายคนถือโอกาสออกมาให้ความเห็นในการพัฒนา ปรับปรุง เพิ่มเติมสิ่งต่างๆลงไปในมหรสพสุดสัปดาห์ดังกล่าว ทั้งนี้ ก็เพื่อเพิ่มความยิ่งใหญ่ให้ฟุตบอล ไทย พรีเมียร์ ลีก
คำถามจึงเกิดขึ้นมาในใจบางคน บ้างก็อยากได้เพิ่มจาก 16 ทีมเป็น 18 ทีม จะได้มีแม็ตช์แข่งขันมากขึ้น จากทีมละ 30 นัดเป็น 34 นัด หรือจะด้วยเหตุผลอื่นใดก็ตาม แต่บางคนอยากเห็นลีกกะทัดรัด แต่อัดด้วยคุณภาพมากกว่า โดยให้เหตุผลว่า ลีกที่มีขนาดใหญ่เกินไป โดยหวังแต่จะเพิ่มจำนวนทีมให้มันเยอะเข้าไว้ ย่อมเป็นที่มาของทีมอ่อนๆ รากฐานไม่ดี ไม่มีความพร้อม การเงินง่อนแง่น คุณภาพก็ย่อมต่ำลงไปด้วย จะลงแข่งในแต่ละนัดทุลักทุเลเหลือเกิน คอยแต่จะแจกแต้มให้ทีมอื่นๆอยู่ร่ำไป แม้จะเป็นทีมยักษ์ แต่เมื่อแข่งกับทีมเห่ยๆ ไม่มีใครอยากชม มันอาจเป็นการฉุดให้ฟุตบอลลีกของไทยถอยกลับไปทางเก่ามากกว่า อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คุณวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยก็ได้ออกมายืนยันชัดเจนแล้วว่า ไทย พรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลหน้าจะยังคงมี 16 ทีมเช่นเดิม
ผมเองก็ไม่ได้อยากเห็นทีมมากมายอย่างนั้นหรอก เพียงแค่อยากเข้าไปสัมผัสกับบรรยากาศการแข่งขันฟุตบอลแม็ตช์คุณภาพ ยักษ์ชนยักษ์กันบ่อยๆมากกว่า ดังนั้น จึงเกิดคำถามว่า แล้วจะจัดการแข่งขันอย่างไร เพื่อให้ได้ชมแม็ตช์ดังกล่าวบ่อยๆ ผมขอยกตัวอย่างรูปแบบการแข่งขันของ สก็อททิช เพรอมิเอ ลีก ( Scottish Premier League ) ที่มีเพียง 12 ทีม แต่ละทีมโคจรมาพบกัน 3 หน โดยอาจเป็นนัดเหย้า 2 นัด นัดเยือนอีก 1 นัด หรือนัดเหย้า 1 นัด และนัดเยือนอีก 2 นัดก็ได้ รวมเป็น 33 นัด แล้วยังไม่จบฤดูกาลครับ มันเป็นเพียง เฟสแรก เท่านั้น ยังมี เฟส 2 อีก โดย SPL จะคิดคะแนนของ เฟสแรก แล้วจัดอันดับตามมาตรฐานสากล เมื่อเรียงได้อันดับได้ที่ 1 ถึง 12 เรียบร้อยแล้ว ก็แบ่งตารางออกเป็น 2 ส่วนคือ ท็อพ ซิกซ์ ( Top Six ) อันดับ 1-6 และ บ็อทท็อม ซิกซ์ ( Bottom Six ) อันดับ 7-12 ให้ทีมใน 6 อันดับแรกพบกันเองให้ครบ รวมแต่ละทีมแข่งอีก 5 นัด เพื่อนำคะแนนที่ได้มาบวกเพิ่มกับ 33 นัดที่แข่งกันมาตลอดฤดูกาล และจัดอันดับขั้นสุดท้าย ใครมีคะแนนมากที่สุดก็ได้แชมป์ ในขณะที่อีก 6 ทีมที่อยู่ท้ายตารางก็ไปพบกันเองเช่นเดียวกันเพื่อชิงอันดับ 7-12
ถ้าเรานำรูปแบบดังกล่าวมาปรับใช้กับ ไทย พรีเมียร์ ลีก ที่มี 16 ทีม จะทำให้แต่ละทีมต้องพบกัน 3 เที่ยว เป็น 45 นัด บวกกับการแข่งขันเฟส 2 อีก 7 นัด รวมเป็นทั้งหมด 52 นัด นั่นก็จะมากเกินไปสักหน่อย ดังนั้น ก็เอาเพียงการแข่งขันที่แต่ละทีมพบกัน เหย้า-เยือน 2 นัดอย่างเดิม 30 นัด แล้วเพิ่มเฟส 2 เลย ก็จะทำให้ตลอดฤดูกาล แต่ละทีมมีแม็ตช์การแข่งขัน 37 นัด เกือบเท่า อิงลิช เพรอมิเอ ลีก เลยนะครับ ข้อดีก็คือ ช่วงท้ายฤดูกาลแฟนบอลจะได้ชมคู่ยักษ์ชนยักษ์หลายคู่ซะด้วย
สำหรับเรื่องการถ่ายทอดสดการแข่งขันนั้น ถ้าตั้งใจสร้างกระแสให้แรงยิ่งขึ้นไปอีก ผมก็ว่า มันก็ยังมีวิธีอีกเช่นกันครับ ดูอย่างหลายประเทศในทวีปยุโรป เขาทำการถ่ายทอดสดพร้อมกันทุกคู่ โดยมีคู่หลักเป็นตัวยืน แพร่ภาพให้ชมตลอด 90 นาที แล้วเมื่อเกิดการทำประตูในสนามอื่นๆ เขาก็จะตัดสลับนำช็อตการทำประตูนั้นๆมาแทรกให้ได้ชมกันทันที ทำให้ผู้ชมทางบ้านได้รู้สถานการณ์ครบทุกสนาม หวังว่าสักวันหนึ่งเราคงได้เห็นการถ่ายทอดสดในลักษณะนี้ครับ
เมื่อฟุตบอล ไทย พรีเมียร์ ลีก 2009 ปิดฤดูกาลลง หลายคนคงนึกเสียดายว่า มันจบเร็วไปหน่อย และต้องตั้งตารอคอยอีกหลายเดือน กว่าจะได้กลับมาพบกับบรรยากาศความมันกันใหม่ในปีหน้า ซึ่งหลายคนยอมรับว่า ปีนี้เป็นปรากฏการณ์ใหม่ในวงการฟุตบอลของประเทศไทย แต่ละนัดมีแฟนบอลเข้าชมหลายพันคน บางนัดเหยียบหมื่น ซึ่งก็เป็นอย่างนี้ตลอดฤดูกาล ความนิยมเป็นกระแสที่ช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมการชมกีฬาจากการนอนดูทางโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน มาเป็นการยอมสละเวลา ฝ่ารถติด เดินทางมาชมและเชียร์ทีมโปรดยังสนามแข่งขัน ดังนั้น มันคงถึงเวลาที่หลายคนถือโอกาสออกมาให้ความเห็นในการพัฒนา ปรับปรุง เพิ่มเติมสิ่งต่างๆลงไปในมหรสพสุดสัปดาห์ดังกล่าว ทั้งนี้ ก็เพื่อเพิ่มความยิ่งใหญ่ให้ฟุตบอล ไทย พรีเมียร์ ลีก
คำถามจึงเกิดขึ้นมาในใจบางคน บ้างก็อยากได้เพิ่มจาก 16 ทีมเป็น 18 ทีม จะได้มีแม็ตช์แข่งขันมากขึ้น จากทีมละ 30 นัดเป็น 34 นัด หรือจะด้วยเหตุผลอื่นใดก็ตาม แต่บางคนอยากเห็นลีกกะทัดรัด แต่อัดด้วยคุณภาพมากกว่า โดยให้เหตุผลว่า ลีกที่มีขนาดใหญ่เกินไป โดยหวังแต่จะเพิ่มจำนวนทีมให้มันเยอะเข้าไว้ ย่อมเป็นที่มาของทีมอ่อนๆ รากฐานไม่ดี ไม่มีความพร้อม การเงินง่อนแง่น คุณภาพก็ย่อมต่ำลงไปด้วย จะลงแข่งในแต่ละนัดทุลักทุเลเหลือเกิน คอยแต่จะแจกแต้มให้ทีมอื่นๆอยู่ร่ำไป แม้จะเป็นทีมยักษ์ แต่เมื่อแข่งกับทีมเห่ยๆ ไม่มีใครอยากชม มันอาจเป็นการฉุดให้ฟุตบอลลีกของไทยถอยกลับไปทางเก่ามากกว่า อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คุณวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยก็ได้ออกมายืนยันชัดเจนแล้วว่า ไทย พรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลหน้าจะยังคงมี 16 ทีมเช่นเดิม
ผมเองก็ไม่ได้อยากเห็นทีมมากมายอย่างนั้นหรอก เพียงแค่อยากเข้าไปสัมผัสกับบรรยากาศการแข่งขันฟุตบอลแม็ตช์คุณภาพ ยักษ์ชนยักษ์กันบ่อยๆมากกว่า ดังนั้น จึงเกิดคำถามว่า แล้วจะจัดการแข่งขันอย่างไร เพื่อให้ได้ชมแม็ตช์ดังกล่าวบ่อยๆ ผมขอยกตัวอย่างรูปแบบการแข่งขันของ สก็อททิช เพรอมิเอ ลีก ( Scottish Premier League ) ที่มีเพียง 12 ทีม แต่ละทีมโคจรมาพบกัน 3 หน โดยอาจเป็นนัดเหย้า 2 นัด นัดเยือนอีก 1 นัด หรือนัดเหย้า 1 นัด และนัดเยือนอีก 2 นัดก็ได้ รวมเป็น 33 นัด แล้วยังไม่จบฤดูกาลครับ มันเป็นเพียง เฟสแรก เท่านั้น ยังมี เฟส 2 อีก โดย SPL จะคิดคะแนนของ เฟสแรก แล้วจัดอันดับตามมาตรฐานสากล เมื่อเรียงได้อันดับได้ที่ 1 ถึง 12 เรียบร้อยแล้ว ก็แบ่งตารางออกเป็น 2 ส่วนคือ ท็อพ ซิกซ์ ( Top Six ) อันดับ 1-6 และ บ็อทท็อม ซิกซ์ ( Bottom Six ) อันดับ 7-12 ให้ทีมใน 6 อันดับแรกพบกันเองให้ครบ รวมแต่ละทีมแข่งอีก 5 นัด เพื่อนำคะแนนที่ได้มาบวกเพิ่มกับ 33 นัดที่แข่งกันมาตลอดฤดูกาล และจัดอันดับขั้นสุดท้าย ใครมีคะแนนมากที่สุดก็ได้แชมป์ ในขณะที่อีก 6 ทีมที่อยู่ท้ายตารางก็ไปพบกันเองเช่นเดียวกันเพื่อชิงอันดับ 7-12
ถ้าเรานำรูปแบบดังกล่าวมาปรับใช้กับ ไทย พรีเมียร์ ลีก ที่มี 16 ทีม จะทำให้แต่ละทีมต้องพบกัน 3 เที่ยว เป็น 45 นัด บวกกับการแข่งขันเฟส 2 อีก 7 นัด รวมเป็นทั้งหมด 52 นัด นั่นก็จะมากเกินไปสักหน่อย ดังนั้น ก็เอาเพียงการแข่งขันที่แต่ละทีมพบกัน เหย้า-เยือน 2 นัดอย่างเดิม 30 นัด แล้วเพิ่มเฟส 2 เลย ก็จะทำให้ตลอดฤดูกาล แต่ละทีมมีแม็ตช์การแข่งขัน 37 นัด เกือบเท่า อิงลิช เพรอมิเอ ลีก เลยนะครับ ข้อดีก็คือ ช่วงท้ายฤดูกาลแฟนบอลจะได้ชมคู่ยักษ์ชนยักษ์หลายคู่ซะด้วย
สำหรับเรื่องการถ่ายทอดสดการแข่งขันนั้น ถ้าตั้งใจสร้างกระแสให้แรงยิ่งขึ้นไปอีก ผมก็ว่า มันก็ยังมีวิธีอีกเช่นกันครับ ดูอย่างหลายประเทศในทวีปยุโรป เขาทำการถ่ายทอดสดพร้อมกันทุกคู่ โดยมีคู่หลักเป็นตัวยืน แพร่ภาพให้ชมตลอด 90 นาที แล้วเมื่อเกิดการทำประตูในสนามอื่นๆ เขาก็จะตัดสลับนำช็อตการทำประตูนั้นๆมาแทรกให้ได้ชมกันทันที ทำให้ผู้ชมทางบ้านได้รู้สถานการณ์ครบทุกสนาม หวังว่าสักวันหนึ่งเราคงได้เห็นการถ่ายทอดสดในลักษณะนี้ครับ
