xs
xsm
sm
md
lg

บุกเวียดนามกับฉลามชล (จบ) / ชัชวาล กมลไมตรีจิตต์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บุกเวียดนามกับฉลามชล วันที่สาม 30-09-2009 (ตอนจบ)

“น้ำตาฟ้า”

ในที่สุดก็ถึงไฮไลท์สำคัญของภารกิจพิชิตแดนเหงียนกับ ชลบุรี เอฟซี โดยมีเดิมพันอยู่ที่ตั๋วสู่รอบตัดเชือก เอเอฟซี คัพ 2009 ซึ่ง บินห์ เยือง สโมสรเวียดนามเจ้าถิ่นกุมไว้ในมือแล้วครึ่งใบ หลังจากบุกไปเสมอเรามาก่อนที่ประเทศไทย 2-2 ทำให้ได้เปรียบอยู่พอสมควรจากการยิงประตูทีมเยือนนอกบ้าน หรือมี “อะเวย์ โกล์” ตุนอยู่นั่นเอง จึงเป็นกำแพงด่านสำคัญที่ทำให้ขุนพล “ฉลามชล” ต้องปีนข้ามไปให้ด้วยชัยชนะเพียงสถานเดียว หรืออาจจะพอถูไถไปว่าแค่เจ๊าให้มากกว่า หรือเสมอเท่ากันแล้วค่อยมาเล่นต่อเวลาพิเศษ แต่อย่างหลังสุดคงไม่เป็นผลดีต่อการกลับไปลุ้นแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกต่อของพวกเขาแน่

อย่างไรก็ตาม ขณะที่คณะสื่อมวลชนรวมถึงผมด้วยกำลังนั่งรถเพื่อตรงไปยัง บินห์ เยือง สเตเดียม สังเวียนแข้งนัดชี้ชะตาคราวนี้ ฟ้าฝนกลับเริ่มกลั่นแกล้ง (ระลอกแรก) เมื่อค่อยๆ โปรยเม็ดลงมาจนอยู่ในระดับค่อนข้างหนัก ดูนาฬิกาตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบ 16.00 น. เหลืออีกเพียง 2 ชั่วโมงก็จะคิกออฟแล้ว ทำเอาพวกเราภาวนาให้ฝนรีบหยุดตกโดยเร็วก่อนที่งานจะกร่อย อีกนัยหนึ่งก็คือห่วงแทนแฟนบอล “เดอะ ชาร์ค” กว่า 100 ชีวิตที่อุตส่าห์ติดตามให้กำลังใจทีมรักถึงขอบสนามด้วย เพราะพวกเขามาเพื่อไม่ให้ถูกกองเชียร์เจ้าบ้านกดดันเพียงฝ่ายเดียวในระหว่างลงเตะ
สภาพทุลักทุเลเมื่อฝนตกระหว่างแข่ง
ความกังวลเริ่มคลายลงทันทีที่รถรับส่งมาถึงหน้าสนามเมื่อสายฝนหยุดลงราวกับว่าพระพิรุณเข้าใจพวกเรา แต่หารู้ไม่ว่านั่นคือการหลอกให้ตายใจเพราะในช่วงก่อนแข่งเพียงไม่นานมันกลับมาถล่มใหม่อีกระลอก ซึ่งหนนี้หนักข้อยิ่งกว่าเดิมอีก แต่ดูเหมือนว่าเหล่าสาวกฉลามชลจะอ่านเกมล่วงหน้าไว้แล้ว เพราะพวกเขานำเสื้อกันฝนที่เตรียมมาสวมใส่ทันทีรวมถึงกางร่มกันพรึ่บพรั่บพร้อมกับกองเชียร์ทีมเหงียน จากนั้นนักเตะทั้งสองทีมก็เดินเรียงแถวลงสู่สนาม แต่ที่พิเศษสำหรับฝั่ง ชลบุรี เอฟซี ก็คือ “ฉลามไชโย” มาสคอตประจำทีมลงไปร่วมแจมกับนักเตะด้วย เรียกเสียงฮือฮาระคนหัวเราะได้ทั้งสนามเพียงช่วงสั้นๆ ก่อนถูกเจ้าหน้าที่เชิญออกมา เนื่องจากไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นนอกเหนือจากผู้เล่นและทีมผู้ตัดสินลงไป จนต้องรีบกลับเข้ามายังใต้อัฒจันทร์เป็นการด่วน

ไม่กี่อึดใจถัดมาเสียงนกหวีดแรกของเกมก็ดังขึ้นโดยที่ฝนก็ยังกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง แต่พลพรรคลูกหนังจากเมืองน้ำเค็มไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ ทั้งสิ้น เปิดฉากจู่โจมตั้งแต่ต้นทันทีเพื่อพลิกสถานการณ์ให้ได้โดยเร็ว ทว่าไม่สามารถต่อบอลเซตเกมได้อย่างถนัดด้วยเหตุที่น้ำเจิ่งนองบนพื้น เวลาจ่ายแต่ละทีจึงต้องเผื่อแรงให้มากขึ้น ทำให้จังหวะที่ควรจะไหลลื่นกลายเป็นติดๆ ขัดๆ เกือบตลอด กระนั้น บินห์ เยือง เองก็มีปัญหาไม่ต่างกันจึงเหลือเพียงแค่ว่าใครปรับตัวได้เร็วกว่าก็จะกุมความได้เปรียบก่อน

ช่วงท้ายครึ่งแรกเกิดความวุ่นวายบนอัฒจันทร์เล็กน้อยระหว่างกองเชียร์สองทีมซึ่งยังไม่ทราบที่มาที่ไปในตอนแรก สืบไปสืบมาก็ได้ความว่าฝั่งชลบุรีไปโบกธงเชียร์ผืนใหญ่บังแฟนบอลเวียดนามที่นั่งอยู่ด้านบน เป็นเหตุให้ขว้างสิ่งของลงมาด้วยความไม่พอใจ เคราะห์ดีที่เรื่องไม่บานปลายเพราะเราเองก็ไม่ไปตอบโต้ ตลอดจนมี รปภ.คอยจับตาดูอยู่อย่างใกล้ชิด ทุกอย่างจึงดำเนินต่อไปตามปกติ

หลังจากนั่งชมการแข่งขันช่วง 45 นาทีแรก สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือบรรยากาศการเชียร์ของแฟนบอลเวียดนามถือว่ายังไม่คึกคักหรือมีลูกเล่นเท่ากับที่เคยสัมผัสในศึกไทยพรีเมียร์ลีก ซึ่งกองเชียร์บ้านเรายังมีการตีกลองร้องเพลงเชียร์สลับกับสรรหาลูกเล่นต่างๆ มาสร้างสีสันระหว่างแข่ง แต่ที่นี่กลับมีเพียงแค่ลุกขึ้นมาฮือฮาในจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็ม เช่น ลุ้นทำประตู มีการฟาวล์ โชว์ทักษะเหนือชั้น โห่กดดันคู่แข่งเป็นพักๆ แล้วก็ลงไปนั่งพักต่อ นอกจากนั้นก็มีเป่าทรัมเป็ตเป็นทำนองเพลงเชียร์เฉยๆ แต่ไม่มีคนร้องตาม อาจเป็นเพราะว่าไม่มีผู้นำเชียร์ก็ได้ เรื่องที่กองเชียร์ของเขาเหนือกว่าในนัดนี้มีเพียงปริมาณเท่านั้นซึ่งแห่กันมาเกือบเต็มความจุ 25,000 ที่นั่ง
มุมขวาล่างภาพนี้หลังรั้วกั้นคือจุดเกิดเหตุระหว่างกองเชียร์
จากนั้นก็ล่วงเลยมาถึงครึ่งหลังท่ามกลางสายฝนซึ่งยังทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่บกพร่องก่อนจะค่อยๆ เบาบางลง แต่สักพักหายนะก็เริ่มมาเยือนฉลามชลเมื่อ ฟิลานี ศูนย์หน้าแอฟริกาใต้ร่างยักษ์แปเสียบมุมผ่านมือ สินทวีชัย หทัยรัตนกุล เป็นประตูนำให้เจ้าถิ่น บีบให้ตัวแทนจากแดนสยามต้องยิงคืนถึง 2 ลูก แต่กลายเป็นว่ายิ่งเข้าทางเหงียน เพราะหลังจากนั้นก็ดักรอตัดบอลแล้วโต้กลับตามสูตรของทีมที่กำลังเป็นต่อ ซึ่งก็เล่นเอาเราป้อแป้ไปพอควร ก่อนที่ฝันจะสลายลงโดยสิ้นเชิง เมื่อลูกฟรีคิกของ กัสตอน เอดูอาร์โด โมลินา ในช่วง 3 นาทีสุดท้ายพุ่งวาบเข้าไปกองก้นตาข่าย เป็นอันสิ้นสุดเส้นทางบนทัวร์นาเมนต์ระดับทวีปเอเชียของ เดอะ ชาร์ค โดยปริยาย

ทว่า ความชอกช้ำของแฟนบอลและทีม ชลบุรี เอฟซี ในแมตช์นี้คงไม่ต่างจาก “น้ำตาฟ้า” ที่โปรยลงมาเกือบตลอดเวลาที่อยู่ในสนามก่อนจางหายไปทันทีที่จบการแข่งขัน เพราะยังมีภารกิจอันใหญ่หลวงอีกชิ้นหนึ่งรออยู่ในวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคมนี้ที่สังเวียนธันเดอร์โดม เมืองทองธานี รังของ “กิเลนผยอง” เมืองทอง-หนองจอก ยูไนเต็ด เพื่อชี้ชะตาลุ้นแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก 2009 แต่การกรำศึกหนักทั้งกลางสัปดาห์และสุดสัปดาห์มาตลอดครึ่งเดือนหลังสุดกลายเป็นการบ้านให้นักเตะฉลามและกุนซือ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ต้องขบคิดว่าจะจัดการรับมือกันอย่างไร
ซิโก้ ต้องทิ้งความผิดหวังใน เอเอฟซี คัพ ไว้เบื้องหลังเพื่อมุ่งสู่นัดต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น