คอลัมน์ "หัวใจในกีฬา" โดย จำลอง ฝั่งชลจิตร
สัปดาห์นี้ลีกใหญ่ๆ ในยุโรปหลีกทางให้เกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกของชาติต่างๆ ที่เตะกันคืนวันเสาร์ หลายทีมอุ่นเครื่องเตรียมเตะจริงคืนวันพุธกลางสัปดาห์ เสาร์อาทิตย์ 12-13 กันยา จะกลับมาสนุกกันอีก
หน้าเว็บไซต์กีฬาฟุตบอลช่วงนี้พูดเรื่องสำคัญ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ “พุ่งล้มเอาจุดโทษ” กับเรื่อง “ตกเขียว” นักเตะวัยกระเตาะของเชลซีกับแมนฯ ยูไนเต็ด
เรื่องล้ม (ไม่ใช่ล้มต้ม) หรือพุ่งล้ม เป็นเหตุการณ์ปกติในเกมที่มีการปะทะกันด้วยกำลัง การที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้มลงไปกองกับพื้นจึงไม่มีอะไรผิดปกติ ถ้าถูกกระแทกหนักๆ ด้วยเจตนาฝ่ายกระทำอาจได้รับใบเหลืองหรือแดง ขึ้นอยู่กับรูปเกมและสถานการณ์ขณะนั้น
เช่น จงใจกระแทกหรือหวดน่องทำฟาวล์ขณะคู่ต่อสู้หลุดเดี่ยวเข้าไปทำประตู ซึ่งเป็นแทกติกที่นักเตะต้องเสี่ยงเพื่อทีม ทั้งที่ทราบดีว่าผลตามมาอาจเป็นใบเหลืองหรือแดง ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะล้มจริงหรือฉวยโอกาสพุ่งสร้างภาพฟาวล์ให้ชัดขึ้นก็ตาม สถานการณ์เช่นนี้ฝ่ายทำฟาวล์เถียงไม่ออก และส่วนใหญ่มักยอมรับ จะเหลืองหรือแดงอยู่ที่ดุลพินิจของผู้ตัดสิน
การล้มหรือพุ่งล้ม (dive) บางจังหวะนักเตะต้องการเซฟตัวเอง เมื่อรู้ว่าการทิ้งตัวไถลไปกับสนามหญ้าปลอดภัยกว่าการขืนตัว นักเตะอาชีพทุกคนเรียนรู้ที่จะอยู่และเล่นกับสนามหญ้า เหมือนนักมวยเจนเวทีรู้วิธีเล่นกับเชือกและผืนผ้าใบ
เรื่องที่กำลังพูดกันสนั่นวงการ คือการล้มเจตนาเอาจุดโทษ นักเตะจอมพุ่งบางคนถือเป็นเรื่องปกติ แต่นักเตะที่เป็นสุภาพบุรุษและมีน้ำใจนักกีฬาจะไม่ทำ สักยี่สิบปีที่แล้วในสมัยพรีเมียร์ชิปยังเป็นดิวิชั่น 1 กรรมการเป่านกหวีดให้กองหน้าทีมหนึ่ง (เรื่องดีๆ แบบนี้ผมมักลืม—ว่าทีมอะไรเล่นกัน และนักเตะคนนั้นเป็นใคร ฝากแฟนๆ ช่วยชี้แนะ) ได้จุดโทษเพราะถูกผู้รักษาประตูทำฟาวล์ แต่กองหน้าคนนั้นลุกขึ้นมายืนยันกับกรรมการว่าเขาไม่ได้ถูกผู้รักษาประตูทำฟาวล์ เขาล้มเพราะแรงส่งตัวและไม่ให้ตัวเองหลุดไปชนป้ายขอบสนาม ปัจจุบันสุภาพบุรุษนักเตะแบบนี้หากยาก
"นโปเลียนลูกหนัง" มิเชล พลาตินี่ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เพิ่งสารภาพว่าเคยล้มเอาจุดโทษเหมือนกัน เพื่อนๆ ในทีมต่างแสดงความชื่นชมยินดี เรื่องนี้อย่าเพิ่งพิพากษาว่านักเตะเลวยกทีมนะครับ
ฟุตบอลเป็นเกมหนักเล่นด้วยเท้า ใครไม่เคยยืนท่ามกลางดงสตั๊ดคมๆ ท่ามกลางสงครามประสาท และคำขู่ต่างๆ นานา จะไม่รู้สึกสยดสยองหรอก โดยเฉพาะนักเตะ “ตัวทำเกม” ที่ฝ่ายตรงข้ามจ้องเตะจ้องเสียบทุกพื้นที่ครองบอล กรรมการต้องปกป้องให้รอดพ้นจากปุ่มสตั๊ดและสงครามประสาท (อันเคยเกิดแก่ ซีเนอดีน ซีดาน นัดชิงฟุตบอลโลกฝรั่งเศส – อิตาลี)
ถ้าผู้ดัดสินเพิกเฉยหรือมีใจเอนเอียงเข้าฝ่ายตรงกันข้าม นักเตะต้องหาวิธีปกป้องตัวเองให้ปลอดภัย และอาชีพค้าแข้งยืนยาวที่สุด เขาอาจละล้มหรือทำนอนเจ็บเสียสักพัก เพื่อดึงความสนใจจากผู้ตัดสินให้จับตาการทำฟาวล์ตัวเขา และให้กองเชียร์ร่วมกดดันผู้ตัดสิน เมื่อลุกขึ้นมาเล่นแล้วโดนเล่นงานลักษณะเดิมอีก สิ่งเดียวที่จะเล่นงานกองหลังประเภทหมาป่าและผู้ตัดสินใจเอนเอียง ก็คือ ล้มในเขตโทษ ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของพวกเขาโดยตรง เปิดสงครามประสาทสั่งสอน และผู้ตัดสิน งานนี้เดือดร้อนถึงกองหลังและผู้รักษาสุภาพบุรุษ ที่ต้องการผลแพ้ชนะที่ชัดเจนและแฟร์
ทุกวันนี้ ลีโอเนล เมสซี ,ชาบี้ เฮร์นานเดซ, ริคาร์โด้ กาก้า, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ,ฟร้องค์ ริเบรี่ และ เชส ฟาเบรกาส ฯลฯ มีเปอร์เซ็นต์ถูกทำฟาวล์สูง หากผู้ตัดสินไม่ปกป้องต้องมีสักจังหวะที่นักเตะลูกแกะจะเปิดสงครามสั่งสอนหมาป่า โดยเฉพาะโรนัลโด้ได้กลายเป็นนักเตะที่ไม่น่าไว้วางใจอีกต่อไป การล้มในเขตโทษจริงหรือลวงแทบแยกไม่ออก เจ้าตัวก็ไม่คิดแคร์
ปัจจุบัน ฟุตบอลอาชีพในยุโรป โดยเฉพาะคู่ “บิ๊กแมทช์” จะหาคู่เล่นจบ “เคลียร์ ๆ” ค่อนข้างยาก ผู้ตัดสินผิดพลาดมากขึ้น นักเตะล้มต้มเอาเปรียบคู่ต่อสู้มากขึ้น ผมกำลังสังเกตว่าต้นทุนฟุตบอลเพิ่มขึ้น ทีมต้องการชัยชนะโดยเฉพาะเข้ารอบลึกๆ ในรายการชิงถ้วยยุโรป มีผลต่อการพุ่งล้มเอาจุดโทษมากขึ้นหรือไม่...หรือว่าเป็นสันดานนักเตะล้วนๆ
เลยไม่ได้พูดเรื่อง “ตกเขียว” นักเตะวัยกระเตาะ
สัปดาห์นี้ลีกใหญ่ๆ ในยุโรปหลีกทางให้เกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกของชาติต่างๆ ที่เตะกันคืนวันเสาร์ หลายทีมอุ่นเครื่องเตรียมเตะจริงคืนวันพุธกลางสัปดาห์ เสาร์อาทิตย์ 12-13 กันยา จะกลับมาสนุกกันอีก
หน้าเว็บไซต์กีฬาฟุตบอลช่วงนี้พูดเรื่องสำคัญ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ “พุ่งล้มเอาจุดโทษ” กับเรื่อง “ตกเขียว” นักเตะวัยกระเตาะของเชลซีกับแมนฯ ยูไนเต็ด
เรื่องล้ม (ไม่ใช่ล้มต้ม) หรือพุ่งล้ม เป็นเหตุการณ์ปกติในเกมที่มีการปะทะกันด้วยกำลัง การที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้มลงไปกองกับพื้นจึงไม่มีอะไรผิดปกติ ถ้าถูกกระแทกหนักๆ ด้วยเจตนาฝ่ายกระทำอาจได้รับใบเหลืองหรือแดง ขึ้นอยู่กับรูปเกมและสถานการณ์ขณะนั้น
เช่น จงใจกระแทกหรือหวดน่องทำฟาวล์ขณะคู่ต่อสู้หลุดเดี่ยวเข้าไปทำประตู ซึ่งเป็นแทกติกที่นักเตะต้องเสี่ยงเพื่อทีม ทั้งที่ทราบดีว่าผลตามมาอาจเป็นใบเหลืองหรือแดง ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะล้มจริงหรือฉวยโอกาสพุ่งสร้างภาพฟาวล์ให้ชัดขึ้นก็ตาม สถานการณ์เช่นนี้ฝ่ายทำฟาวล์เถียงไม่ออก และส่วนใหญ่มักยอมรับ จะเหลืองหรือแดงอยู่ที่ดุลพินิจของผู้ตัดสิน
การล้มหรือพุ่งล้ม (dive) บางจังหวะนักเตะต้องการเซฟตัวเอง เมื่อรู้ว่าการทิ้งตัวไถลไปกับสนามหญ้าปลอดภัยกว่าการขืนตัว นักเตะอาชีพทุกคนเรียนรู้ที่จะอยู่และเล่นกับสนามหญ้า เหมือนนักมวยเจนเวทีรู้วิธีเล่นกับเชือกและผืนผ้าใบ
เรื่องที่กำลังพูดกันสนั่นวงการ คือการล้มเจตนาเอาจุดโทษ นักเตะจอมพุ่งบางคนถือเป็นเรื่องปกติ แต่นักเตะที่เป็นสุภาพบุรุษและมีน้ำใจนักกีฬาจะไม่ทำ สักยี่สิบปีที่แล้วในสมัยพรีเมียร์ชิปยังเป็นดิวิชั่น 1 กรรมการเป่านกหวีดให้กองหน้าทีมหนึ่ง (เรื่องดีๆ แบบนี้ผมมักลืม—ว่าทีมอะไรเล่นกัน และนักเตะคนนั้นเป็นใคร ฝากแฟนๆ ช่วยชี้แนะ) ได้จุดโทษเพราะถูกผู้รักษาประตูทำฟาวล์ แต่กองหน้าคนนั้นลุกขึ้นมายืนยันกับกรรมการว่าเขาไม่ได้ถูกผู้รักษาประตูทำฟาวล์ เขาล้มเพราะแรงส่งตัวและไม่ให้ตัวเองหลุดไปชนป้ายขอบสนาม ปัจจุบันสุภาพบุรุษนักเตะแบบนี้หากยาก
"นโปเลียนลูกหนัง" มิเชล พลาตินี่ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เพิ่งสารภาพว่าเคยล้มเอาจุดโทษเหมือนกัน เพื่อนๆ ในทีมต่างแสดงความชื่นชมยินดี เรื่องนี้อย่าเพิ่งพิพากษาว่านักเตะเลวยกทีมนะครับ
ฟุตบอลเป็นเกมหนักเล่นด้วยเท้า ใครไม่เคยยืนท่ามกลางดงสตั๊ดคมๆ ท่ามกลางสงครามประสาท และคำขู่ต่างๆ นานา จะไม่รู้สึกสยดสยองหรอก โดยเฉพาะนักเตะ “ตัวทำเกม” ที่ฝ่ายตรงข้ามจ้องเตะจ้องเสียบทุกพื้นที่ครองบอล กรรมการต้องปกป้องให้รอดพ้นจากปุ่มสตั๊ดและสงครามประสาท (อันเคยเกิดแก่ ซีเนอดีน ซีดาน นัดชิงฟุตบอลโลกฝรั่งเศส – อิตาลี)
ถ้าผู้ดัดสินเพิกเฉยหรือมีใจเอนเอียงเข้าฝ่ายตรงกันข้าม นักเตะต้องหาวิธีปกป้องตัวเองให้ปลอดภัย และอาชีพค้าแข้งยืนยาวที่สุด เขาอาจละล้มหรือทำนอนเจ็บเสียสักพัก เพื่อดึงความสนใจจากผู้ตัดสินให้จับตาการทำฟาวล์ตัวเขา และให้กองเชียร์ร่วมกดดันผู้ตัดสิน เมื่อลุกขึ้นมาเล่นแล้วโดนเล่นงานลักษณะเดิมอีก สิ่งเดียวที่จะเล่นงานกองหลังประเภทหมาป่าและผู้ตัดสินใจเอนเอียง ก็คือ ล้มในเขตโทษ ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของพวกเขาโดยตรง เปิดสงครามประสาทสั่งสอน และผู้ตัดสิน งานนี้เดือดร้อนถึงกองหลังและผู้รักษาสุภาพบุรุษ ที่ต้องการผลแพ้ชนะที่ชัดเจนและแฟร์
ทุกวันนี้ ลีโอเนล เมสซี ,ชาบี้ เฮร์นานเดซ, ริคาร์โด้ กาก้า, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ,ฟร้องค์ ริเบรี่ และ เชส ฟาเบรกาส ฯลฯ มีเปอร์เซ็นต์ถูกทำฟาวล์สูง หากผู้ตัดสินไม่ปกป้องต้องมีสักจังหวะที่นักเตะลูกแกะจะเปิดสงครามสั่งสอนหมาป่า โดยเฉพาะโรนัลโด้ได้กลายเป็นนักเตะที่ไม่น่าไว้วางใจอีกต่อไป การล้มในเขตโทษจริงหรือลวงแทบแยกไม่ออก เจ้าตัวก็ไม่คิดแคร์
ปัจจุบัน ฟุตบอลอาชีพในยุโรป โดยเฉพาะคู่ “บิ๊กแมทช์” จะหาคู่เล่นจบ “เคลียร์ ๆ” ค่อนข้างยาก ผู้ตัดสินผิดพลาดมากขึ้น นักเตะล้มต้มเอาเปรียบคู่ต่อสู้มากขึ้น ผมกำลังสังเกตว่าต้นทุนฟุตบอลเพิ่มขึ้น ทีมต้องการชัยชนะโดยเฉพาะเข้ารอบลึกๆ ในรายการชิงถ้วยยุโรป มีผลต่อการพุ่งล้มเอาจุดโทษมากขึ้นหรือไม่...หรือว่าเป็นสันดานนักเตะล้วนๆ
เลยไม่ได้พูดเรื่อง “ตกเขียว” นักเตะวัยกระเตาะ