กมล สุวรรณเจริญ ผู้ช่วยผู้จัดการทีมราชนาวี ระยอง รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์วุ่นวายในศึกไทยพรีเมียร์ลีก 2009 ที่เปิดบ้านต้อนรับ พัทยา ยูไนเต็ด เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งแฟนบอลปะทะกับสารวัตรทหาร (สห.) แต่ยังมองในแง่ดีว่าเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาให้วงการฟุตบอลไทยเติบโตต่อไปในอนาคต
สืบเนื่องจากศึกลูกหนังลีกสูงสุดแดนสยาม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่ง “ม้ามังกร” เฝ้าบ้านที่สนามกีฬากลาง จังหวัดระยอง เฉือนชนะ “โลมาฟ้าขาว” อย่างสนุกตื่นเต้น 3-2 ทว่ามีเหตุวุ่นวายในช่วงก่อนพักครึ่งเวลาแรก โดยแฟนบอลกับ สห. ปะทะกันชุลมุนจนเกมต้องหยุดชะงักลงราว 15-20 นาที เป็นผลให้กองเชียร์ทีมเยือนส่วนหนึ่งได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วน สห. นายหนึ่งก็ถูกกัดหูเลือดอาบต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล
ด้าน “เสี่ยเหมา” กมล สุวรรณเจริญ ซึ่งเข้าไปไกล่เกลี่ยกับแฟนบอล พัทยา ยูไนเต็ด ด้วยตัวเองจนกระทั่งเหตุการณ์สงบลงออกมาชี้แจงกับผู้สื่อข่าว MGR Sport ว่า “ผมเสียใจที่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ซึ่งความจริง พัทยา กับ ระยอง เปรียบเสมือนบ้านพี่เมืองน้องก็ไม่อยากให้มีเรื่องบาดหมางกัน ผมเข้าใจว่าแฟนบอลมีอารมณ์ร่วมกับการแข่งขันและต่างก็รักทีมตัวเอง แต่คิดว่าไม่มีใครที่อยากเห็นภาพความรุนแรงแน่นอน”
“เรื่องการปะทะกันผมมองว่า ณ ขณะนั้นมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แฟนบอลก็รักทีมของตัวเอง ส่วน สห. เองก็ทำหน้าที่ของเขา แต่ผมเองก็ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงเข้ายับยั้งเหตุการณ์ หรือพกอาวุธปืนเพื่อข่มขู่ เพราะถ้าต่างฝ่ายต่างแรงมาแรงไปเรื่องมันก็ยิ่งบานปลาย คิดว่าคุยกันดีๆ ก็น่าจะเข้าใจ ดังนั้น ผมจึงเข้าไปเจรจากับหัวหน้าแฟนคลับของพัทยาซึ่งพวกเขาก็ยอมคุยด้วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมเคยทำสนามฟุตบอล พัทยา อะคาเดมี มาก่อน ทำให้กองเชียร์คุ้นเคยกับผม สุดท้ายก็จัดการปัญหาตรงนั้นได้”
กรรมการผู้จัดการบริษัท ลูกประดู่นาวี จำกัด แสดงทัศนะถึงเหตุการณ์โดยมองในแง่ดีว่า “ปัญหาที่เกิดขึ้นผมอยากให้มองว่าเป็นย่างก้าวหนึ่งของการพัฒนาวงการฟุตบอลไทย เพราะตอนนี้แฟนบอลรู้สึกว่าไทยพรีเมียร์ลีกอยู่ใกล้ตัวจนเข้ามามีส่วนร่วมกันอย่างล้นหลาม เมื่อจำนวนผู้ชมเพิ่มมากขึ้นย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นกับเหตุการณ์ลักษณะนี้ซึ่งคงต้องเกิดไม่วันใดก็วันหนึ่ง การที่สนาม ราชนาวี ระยอง มีคนเข้ามาดูถึงหลักหมื่นเป็นทีมแรกแล้วเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาก็จะได้เป็นบทเรียนสำหรับการนำมาตรการมาป้องกัน เพื่อช่วยยกระดับลีกให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ในทางกลับกันถ้าคนดูน้อยเรื่องทำนองนี้คงไม่เกิดแต่ก็ไม่เป็นผลดีต่อการเติบโตของฟุตบอลไทย”