บริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด สรุปกรณีปัญหาที่ไฟดับในช่วงท้ายเกมระหว่าง ราชนาวี ระยอง กับ เมืองทอง-หนองจอก ยูไนเต็ด นานถึง 1 ชั่วโมงเศษว่าเป็นเพียงเหตุสุดวิสัย ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังเข้ามาเกี่ยวข้อง พร้อมทั้งกำชับทุกสโมสรว่าจากนี้ไปทีมเจ้าบ้านต้องมีระบบไฟสำรองไว้คอยรองรับปัญหาในอนาคต
เมื่อเวลา 14.00 น. ของวันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2552 บริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด จัดประชุมคณะผู้ควบคุมการแข่งขันที่ห้องประชุมชั้น 1 สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เพื่อสรุปเหตุการณ์ ชี้แจงปัญหา รวมถึงเสนอและอภิปรายแนวทางแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นในศึกไทยพรีเมียร์ลีก และ ดิวิชัน 1 ประจำวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 1-2 สิงหาคมที่ผ่านมา
โดยประเด็นสำคัญอยู่ที่เหตุการณ์ที่สนามกีฬากลาง จ.ระยอง ซึ่ง “ม้ามังกร” เจ้าบ้านตามหลัง “กิเลนผยอง” อยู่ 1-2 จากนั้นก็เกิดไฟดับขณะเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 3 นาที ทำให้เกมหยุดลงนานถึง 1 ชั่วโมง 15 นาที ก่อนกลับมาเตะกันต่อจนจบการแข่งขันด้วยสกอร์ดังกล่าว ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่ากรณีไฟดับครั้งนี้มีผู้อยู่เบื้องหลัง หรือเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลรวมถึงเซียนพนันหรือไม่
ทว่า จากการสรุปในที่ประชุมผลออกมาว่าเป็นเพียงเหตุสุดวิสัยเท่านั้น โดย ปกาสิต สุวรรณานนท์ ผู้ควบคุมการแข่งขันคู่ระหว่าง ราชนาวี กับ เมืองทองฯ ชี้แจงว่า “ตอนไฟดับผมได้รับแจ้งมาว่าแผงควบคุมไฟในสนามไม่มีปัญหา น่าจะเกิดจากสายไฟฟ้าแรงสูงด้านนอก เจ้าหน้าที่สนามก็พาผมนั่งมอเตอร์ไซค์ออกไปดูปรากฏว่าอาร์ค (ตัวควบคุมไฟฟ้าลัดวงจรคล้ายฟิวส์) ที่บนอยู่บนเสาเสื่อมสภาพจากการใช้งานมานานจึงเป็นเหตุให้ไฟดับ เมื่อได้คุยกับฝ่ายปฏิบัติการของการไฟฟ้าจังหวัดระยอง ก็บอกว่าใช้เวลาแก้ไขไม่นาน”
“กระทั่งผมกลับเข้าไปดูในสนามปรากฏว่าไฟฝั่งตรงข้ามอัฒจันทร์หลักก็ดับอีก ซึ่งช่างไฟบอกว่าเกิดจากการจัมพ์ไฟให้กลับมาติดใหม่ ทำให้หลอดบางตัวขาด อีกทั้งเจ้าหน้าที่ก็ยืนยันว่าแผงควบคุมไฟยังเป็นปกติ ท้ายสุดไฟก็ติด 4 ด้านแต่ไม่ครบทุกดวง แต่ดูแล้วสามารถกลับมาแข่งต่อ 3 นาทีที่เหลือได้ ซึ่งตอนแรกผู้เล่น ราชนาวี ไม่ยอมเพราะต้องการให้แข่งใหม่ กระทั่งเกลี้ยกล่อมให้กลับมาเล่นต่อได้สำเร็จ”
จากนั้น ดร.วิชิต แย้มบุญเรือง ประธานไทยพรีเมียร์ลีกในฐานะประธานที่ประชุมออกมาสรุปหลังปรึกษาคณะผู้ควบคุมการแข่งขันว่าจากนี้ไปทีมที่เป็นเจ้าบ้านจะต้องจัดเตรียมอุปกรณ์หรือระบบสำรองไฟเผื่อกรณีไฟดับกะทันหัน หากไม่สามารถจัดเตรียมได้ก็จะให้เลื่อนมาแข่งในเวลา 16.30 น. และต้องแจ้งยืนยันเวลาเริ่มแข่งขันสำหรับโปรแกรมสุดสัปดาห์ภายในวันพฤหัสบดีของแต่ละวีก โดยระบุว่าได้ส่งหนังสือแจ้งไปยัง 16 สโมสรในไทยพรีเมียร์ลีกเรียบร้อยแล้ว
ด้าน “ดร.ลูกหนัง” ออกมาให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว MGR Sport ว่า “กรณีนี้แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลยสำหรับฟุตบอลบ้านเรา ขณะที่กฎของฟีฟ่าระบุไว้ว่าหากไม่ต้องการยกเลิกการแข่งขันจากเหตุการณ์ลักษณะนี้ก็ต้องวางระบบไฟสำรองให้พร้อม ซึ่งเรื่องนี้ก็ชี้แจงในการสัมมนาเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมาแล้ว จากนี้ไปทีมไหนอยากแข่งในช่วงเย็นก็ต้องดำเนินการให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นเราก็จะให้เลื่อนขึ้นมาเตะกันในเวลา 16.30 น. ส่วนผลคู่ระหว่าง ราชนาวี กับ เมืองทอง ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงและคงไม่มีการกลับมาแข่งใหม่ เพราะถือว่าผู้ตัดสินใช้ดุลพินิจให้แข่งขันจนจบเกมไปแล้ว”
ทั้งนี้มี 3 สนามที่แจ้งความจำนงว่าขอลงเตะนัดเหย้าในเวลา 18.00 น. คือ สนามไทยญี่ปุ่น-ดินแดง (แบงค็อก ยูไนเต็ด), สนามสิรินธร (ชลบุรี เอฟซี และ ศรีราชา เอฟซี) กับ สนามเทศบาลตำบลหนองปรือ (พัทยา ยูไนเต็ด) ซึ่งมีเพียงสนามไทยญี่ปุ่น-ดินแดงเท่านั้นที่ไฟสว่างเกิน 600 ลักซ์ตามมาตรฐานที่ไทยพรีเมียร์ลีกวางไว้
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังมีการเสนอให้กำหนดจำนวนบัตรเข้าชมที่แต่ละสโมสรจะจำหน่ายให้กับแฟนบอล เพื่อป้องกันคนล้นทะลักสนามจนเกิดปัญหาวุ่นวายในภายหลัง ทั้งในด้านการรักษาความปลอดภัย และสวัสดิภาพของผู้เข้าชม ตลอดจนเสนอให้มีการจัดโซนสำหรับกองเชียร์ที่ต้องการส่งเสียงหรือใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น กลอง แตร แยกออกจากโซนวีไอพีอย่างเป็นสัดส่วน โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของพื้นที่ที่จะย้ายไปด้วยว่ามีความแข็งแรงพอหรือไม่
นอกจากนั้น ไทยพรีเมียร์ลีก จะประสานงานกับ ทวี อัมพรมหา หรือ “ขาวผ่อง สิทธิชูชัย” เลนุการสโมสรโอสถสภา เอ็ม-150 ถึงความคืบหน้าในการย้ายรังไปยังสนามกีฬากลาง จังหวัดสระบุรี ว่าพร้อมใช้งานวันที่ 30 สิงหาคมตามที่แจ้งมาหรือไม่ และจะไปตรวจสอบสภาพสนามวิทยาลัยพลศึกษาสมุทรสาคร สังเวียนเหย้าของ ทีทีเอ็ม สมุทรสาคร ในวันอังคารที่ 4 สิงหาคมนี้ว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานแล้วหรือยังก่อนที่ “สำเภาผยอง” จะกลับไปใช้งานอีกครั้ง
