สมศักดิ์ ศิริธรรม ประธานสโมสรสมุทรสงคราม เอฟซี เปิดเผยว่าเตรียมได้หัวหอกชาวแคเมอรูนจากลีกกัมพูชามาเสริมประสิทธิภาพในแดนหน้า โดยจะย้ายมาร่วมงานในช่วงเลกสอง ศึกไทยพรีเมียร์ลีก 2009
หลังจากศึกลูกหนังไทยลีกผ่านไปแล้ว 9 นัด “ปลาทูคะนอง” ยังอยู่ในสถานการณ์ที่วางใจไม่ได้ โดยเก็บได้ 10 คะแนนจากผลงานชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ถึง 5 เกมด้วยกัน รั้งอันดับ 11 ของตาราง ซึ่งล่าสุดก็เพิ่งพ่ายคาถิ่นต่อ ชลบุรี เอฟซี 0-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริหารเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อหาทางกระตุ้นทีม
ล่าสุด สมศักดิ์ ศิริธรรม หัวเรือใหญ่ทีมลูกหนังเมืองแม่กลองออกมาเปิดเผยกับ MGR Sport ถึงการเสริมเขี้ยวเล็บว่า “ตามที่เคยเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ว่าเรากำลังหานักเตะใหม่เข้ามา ตอนนี้เราได้บรรลุข้อตกลงกับกองหน้าชาวแคเมอรูนที่เล่นให้กับ พนมเปญ คราวน์ แชมป์ลีกกัมพูชา (2008) แล้ว หลังทดสอบฝีเท้าได้อย่างน่าพอใจ”
บิ๊กบอสปลาทูชี้แจงต่อไปว่า “เขารับปากแล้วว่าจะมาเล่นให้กับ สมุทรสงคราม แต่ยังไม่ใช่เวลานี้ เพราะยังติดภารกิจลงเล่นให้ต้นสังกัดในรายการเอเอฟซี เพรสซิเดนท์ คัพ 2009 (บอลถ้วยของลีกเล็กในทวีปเอเชีย) จึงได้มีการตกลงกันว่าจะย้ายมาเล่นในไทยลีก เลกสอง ส่วนค่าจ้างก็อยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มผู้เล่นแกนหลักของทีมอย่าง คนึง บุราณสุข”
ไม่เพียงเท่านั้น นายกสมาคมฟุตบอลแม่กลองสมุทรสงครามยังแย้มอีกว่ากำลังทดสอบฝีเท้าของนักเตะชาวซีเรียอยู่ หากทำผลงานเข้าตาก็อาจเซ็นสัญญาคว้าตัวมาร่วมทัพอีกราย เพียงแต่เวลานี้ยังไม่ได้มีการตั้งโต๊ะเจรจารายละเอียดส่วนตัวกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
นอกจากนี้ สมศักดิ์ ได้พูดถึง ดิยู บีรัม ตัวรุกชาวไอวอรีโคสต์ขวัญใจสาวกปลาทูคะนองที่ย้ายกลับมาจาก เมืองทอง-หนองจอก ยูไนเต็ด ว่าจะฟื้นตัวกลับคืนสู่ทีมในช่วงเลกสองหลังจากขาหักพักยาวมากว่าครึ่งปี “ตอนนี้ บีรัม กำลังฟื้นฟูร่างกายจากอาการบาดเจ็บอยู่ และได้มาร่วมซ้อมทีมกับเราแล้ว ต้องรอดูอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่เชื่อว่าในเลกสองเขาจะกลับมาช่วยทีมได้”
ด้าน “น้าฉ่วย” สมชาย ชวยบุญชุม กุนซือสมุทรสงคราม เอฟซี เอ่ยถึงการได้นักเตะใหม่เข้ามาเป็นตัวเลือกในการจัดทัพว่า “เราต้องการกองหน้ากับกองกลางเข้ามาเพิ่ม เนื่องจากมีนักเตะในสองตำแหน่งนี้ไม่มาก อีกทั้ง อัฐพล ภูนาแร่ กับ อรรถนพ ชัยแป้น สองนักเตะตัวหลักปีที่แล้วก็ยังเจ็บอยู่ ทำให้ขาดคนที่จะเปิดบอลแบบได้เสีย ถ้าเราได้ผู้เล่นใหม่มาก็จะมีทางเลือกไว้คอยปรับเปลี่ยนเกมในระหว่างแข่งขัน ทำให้คู่ต่อสู้จับทางยากมากขึ้น”