นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมาเหล่ายอดนักเทนนิสทั่วโลกมีพัฒนาการการเล่นไปสู่ความ “ครบเครื่อง” มากกว่าในอดีต ด้วยคุณสมบัติลบจุดอ่อนเสริมจุดแข็งได้อย่างรวดเร็วตลอดจนปรับตัวเข้ากับพื้นผิวสนามได้หลายรูปแบบ ซึ่งตัวอย่างที่เห็นอย่างชัดเจนที่สุดคือ ราฟาเอล นาดาล ซึ่งเดิมทีถูกยกเป็น "ราชันคอร์ตดิน" ปรับเทคนิคด้วยการติดอาวุธลูกวอลเลย์และเพิ่มลูกสไลซ์ในเกมรับจนสามารถล้ม โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ กลางผืนหญ้าออลอิงแลนด์คว้าแชมป์ วิมเบิลดัน มาครองได้เป็นสมัยแรกเมื่อปีที่แล้ว นับเป็นการพัฒนาความหลากหลายของเกมเทนนิสในทิศทางเดียวกับ "เฟดเอ็กซ์" อดีตแชมป์วิมเบิลดัน 5 สมัยที่ยกระดับการเล่นบนคอร์ตดินกลายเป็นนักหวดประวัติศาสตร์คนแรกในรอบ 40 ที่เข้าชิง ณ สังเวียนคอร์ตดิน โรลังค์ การ์รอส 3 ปีติดต่อกันแต่ไม่ได้แชมป์
ย้อนกลับไปในยุคทศวรรษที่ 80-90 ความแตกต่างของความเร็วระหว่างเฟรนช์ โอเพน และแกรนด์สแลมอีก 3 รายการส่งผลต่อสไตล์การเล่นของยอดนักเทนนิสที่มักจะเลือกเอาดีทางใดทางหนึ่งระหว่างคอร์ตดินหรือคอร์ตหญ้า อย่างเช่นในกรณีของ พีต แซมพราส ตำนานชาวอเมริกันเป็นตัวชูโรงการเล่นเสิร์ฟวอลเลย์ซึ่งได้ผลดีกับการเล่นบนคอร์ตหญ้าจนเจ้าตัวคว้าแชมป์วิมเบิลดันมาครองถึง 7 สมัย หากแต่ผลงานใน เฟรนช์ โอเพน ซึ่งพื้นคอร์ตดินมีความหนืดและต้องอาศัยทักษะการสไลด์เท้า "สวีทพีต" ทำได้ดีสุดแค่การเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในปี 1996
ซึ่งลักษณะ "แข็งคอร์ตหญ้าอ่อนคอร์ตดิน" ดังกล่าวไม่แตกต่างกับเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆอาทิ แพตทริก ราฟเตอร์ โกรัน อิวานิเซวิช และ ทิม เฮนแมน ทว่าในทางตรงกันข้าม อีวาน เลนเดิล ตำนานเช็กโอนสัญชาติอเมริกันได้แชมป์ เฟรนช์ โอเพน ,ออสเตรเลียน โอเพน และ ยูเอส โอเพน รวมกัน 8 สมัยระหว่างปี 1984 - 1990 แต่ไม่เคยได้แชมป์ วิมเบิลดัน
อย่างไรก็ตามวงการเทนนิสเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นหลายด้านในปัจจุบันซึ่งล้วนทำให้นักเทนนิสปรับสไตล์การเล่นให้เก่งได้ทั้ง ฮาร์ดคอร์ต คอร์ตหญ้าและคอร์ตดิน ง่ายกว่าในอดีต ไล่ตั้งแต่แร็กเกตสมัยใหม่ช่วยให้นักเทนนิสยิงบอลได้แรงแม้เล่นบนคอร์ตดิน ขณะที่สหพันธ์เทนนิสนานาชาติ (ไอทีเอฟ) ได้ออกกฎให้คอร์ตหญ้าทั่วโลกมีการกระดอนของลูกสูงขึ้นและมีมาตรฐานใกล้เคียงกับฮาร์ดคอร์ต
ปี 2008 ราฟาเอล นาดาล ซึ่งครั้งหนึ่งมีสมญานาม “ราชันคอร์ตดิน” พัฒนาเกมบนคอร์ตหญ้าแย่งแชมป์ วิมเบิลดัน มาจาก โรเจอร์ เฟเดอรอร์ นอกจากนี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมายังต่อมาคว้าแชมป์ ออสเตรเลียน โอเพน ซึ่งเป็นแชมป์แกรนด์สแลมฮาร์ดคอร์ตรายการแรกในชีวิตด้วยวัยเพียง 23 ปี ซึ่งพัฒนาการอันโดดเด่นดังกล่าวส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับ คุณอา โทนี นาดาล ที่อาศัยสิ่งแวดล้อมอันเป็นเอกลักษณ์บนเกาะมายอร์กา ปรับการเล่นและทัศนคติให้หลานชายโตขึ้นมาเป็นนักเทนนิส "สายพันธุ์พิเศษ" ที่มีความชำนาญทุกพื้นสนาม แตกต่างไปจากนักหวดสเปนส่วนใหญ่ซึ่งเก่งแต่เพียงคอร์ตดิน
ในส่วนของ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ถูกยกย่องให้เป็นนักเทนนิสที่มีเกมการเล่นสมบูรณ์แบบที่สุดในยุคโอเพน คว้าแชมป์วิมเบิลดันได้ถึง 5 สมัยจนถูกนำไปเทียบความยิ่งใหญ่กับ พีต เเซมพราส ตำนานเสิร์ฟวอลเลย์ชาวอเมริกัน หากแต่เกมเทนนิสของ เฟดเอ็กซ์ หลากหลายกว่าจากการเน้นตีโต้ท้ายคอร์ตคิดเป็น 90 เปอร์เซนต์และวอลเลย์แค่ 10 เปอร์เซนต์ส่งผลให้ปรับตัวได้ง่ายเมื่อต้องลงเล่นบนคอร์ตดินสะท้อนออกมาเป็นตำแหน่งรองแชมป์ เฟรนช์ โอเพน 3 สมัยซ้อนระหว่างปี 2006-2008 จนกลายเป็นนักเทนนิสที่เล่นบนคอร์ตดินได้ดีที่สุดในโลกรองจาก นาดาล เพียงคนเดียว
ด้าน โนวัค ยอโควิช มือ 3 ของโลกชาวเซอร์เบียเพิ่มความครบเครื่องให้ตนเองด้วยการย้ายบ้านไปที่ มอนติ คาร์โล เมืองหลวงของราชรัฐโมนาโก เพื่อโอกาสในการสัมผัสเคลย์คอร์ตมากขึ้นจนเป็นผลให้ "เจ้าจ็อกเกอร์" วัย 21 ปีเล่นคอร์ตดินได้ดีไม่แตกต่างจากฮาร์ดคอร์ตและเคยได้แชมป์คอร์ตดินรายการ โรม มาสเตอร์ส ในปี 2008และรองแชมป์ปี 2009 อีกทั้งยังผ่านเข้ารอบตัดเชือกเฟรนช์ โอเพน ในสองครั้งหลังสุด
การขยายความหลากหลายในเกมการเล่นและแก้ไขจุดบกพร่องได้รวดเร็วของเหล่านักเทนนิสชั้นดังที่ได้นำเสนอไว้ข้างต้นทำให้แฟนๆเทนนิสได้ชมเกมสมัยใหม่ที่มีความสนุกตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิม นักเทนนิสหัวแถวจะมีโอกาสโคจรมาปะทะกันในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆตลอดทั้งปีไม่ว่ารายการนั้นจะใช้ฮาร์ดคอร์ต คอร์ตหญ้า หรือคอร์ตดิน ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ฉายา“ราชันคอร์ตดิน” และ “เจ้าพ่อวิมเบิลดัน” อาจค่อยๆเลือนหายไปจนกลายเป็นเพียงอดีตของวงการเท่านั้น