อลัน เชียเรอร์ ยอมรับอย่างตรงประเด็นภายหลังตกลงรับงานพา นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ผ่านพ้นสถานการณ์ฉุกเฉิน หนีตกชั้นศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ว่าเป็นความท้าทายยิ่งกว่าสมัยสวมสตั๊ดลงไปลุยเองเสียอีก โดยมองทะลุปรุโปร่งว่าทีมมีหลายจุดที่ต้องเร่งเยียวยา ซึ่งในบรรทัดต่อจากนี้คือภารกิจที่ “ฮอตชอต” ต้องฟันฝ่าไปให้ได้ หากไม่อยากเห็นน้ำตาของชาวจอร์ดีท่วมผืนแม่น้ำไทน์จากการเห็นทีมรักร่วงหล่นจากลีกสูงสุดสู่ เดอะ แชมเปียนชิป
ขันน็อตในเกมรับ
นี่คือปัญหาต้องคำสาปของ เดอะ แม็กพายส์ ไม่ว่าจะดึงเซนเตอร์ฮาล์ฟที่ดูมีชื่อชั้น พอฝากผีฝากไข้ได้เข้ามากี่รายก็มีอันต้องเสียผู้เสียคนที่ เซนต์ เจมส์ ปาร์ค แทบทุกครั้งไป ไล่ตั้งแต่ มาร์เซลิโน เอเลนา, ไตตัส บรัมเบิล, ฌอง-อแล็ง บูมซง, เคลาดิโอ คาซาปา จนกระทั่ง ฟาบริซิโอ โคลอชชินี เป็นรายล่าสุดที่ถือว่าสอบตกโดยสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับดีกรีทีมชาติอาร์เจนตินาและค่าตัว 10.3 ล้านปอนด์ (ประมาณ 546 ล้านบาท) ที่จ่ายไป
เมื่อวิเคราะห์จากสถิติที่ผ่านมาพบว่า สาลิกา มักถูกทะลวงขณะนำอยู่ในช่วงท้ายเกมหรือเสียประตูแบบไม่น่าเสียเห็นได้ชัดจากแมตช์ในบ้านกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี (2-2), วีแกน แอธเลติก (2-2), สโต๊ค ซิตี (2-2), ซันเดอร์แลนด์ (1-1), แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (1-2), อาร์เซนอล (1-3) และ เชลซี (0-2) ซึ่งล้วนมาจากความบกพร่องเองในแนวรับทั้งสิ้น และเมื่อลองคำนวณแต้มที่ควรเก็บได้ในนัดเหย้าตามเป้าหมายพบว่าทำหล่นหายถึง 20 แต้มเลยทีเดียว
นอกจากนั้น การไม่เสริมทัพในตำแหน่งปราการหลังตัวกลางในช่วงตลาดนักเตะฤดูหนาวที่ผ่านมา ทำให้ นิวคาสเซิล มีตัวเลือกจำกัด ดังนั้น หนทางเดียวที่ เชียเรอร์ ทำได้ในเวลานี้คือการติวเข้มขุมกำลังในแดนหลังที่มีให้ใช้งานทั้ง ฟาบริซิโอ โคลอชชินี, เคลาดิโอ คาซาปา, สตีเวน เทย์เลอร์, เซบาสเตียง บาสซง, อาบิบ เบย์, ไรอัน เทย์เลอร์, ดาวิด เอ็ดการ์ และ โฮเซ เอ็นริเก ให้มีสมาธิในทุกแมตช์ที่เหลืออยู่ อย่าก่อความผิดพลาดง่ายๆ อันนำไปสู่การโดนเจาะตาข่ายเหมือนที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้งในซีซันนี้
เพิ่มมิติในแนวรุก
เป็นอีกจุดหนึ่งที่ “ฮอตชอต” ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน เพราะ 37 ประตูที่ นิวคาสเซิล ทำได้ในลีกจนถึงเวลานี้มาจากฝีเท้าของเหล่ากองหน้าอย่าง ไมเคิล โอเวน, โอบาเฟมี มาร์ตินส์, โชลา อเมโอบี, แอนดี คาร์โรลล์, ปีเตอร์ โลเวนครานด์ส และ ซิสโก รวมทั้งสิ้นถึง 24 ลูก ขณะที่กองกลางกับกองหลังช่วยแบ่งเบาภาระให้เพียง 11 ลูก อีก 2 ลูกเกิดจากการทำเข้าประตูตัวเองของคู่แข่ง นี่เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่า เดอะ แม็กพายส์ ฝากความหวังในการทำสกอร์ไว้ที่บรรดาหัวหอกมากเกินไป และยังสะท้อนถึงการเข้าทำที่ไม่หลากหลายอีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้นจากหลายแมตช์ที่ผ่านมาสังเกตได้ว่าการเซตเกมบุกของ นิวคาสเซิล ยังคงสะเปะสะปะหาทิศทางที่แน่นอนไม่ได้ เนื่องจากไม่มี “จอมทัพ” คอยคุมจังหวะการให้บอล ซึ่งเมื่อก่อนสาลิกาดงเคยมีตัวทำเกมชั้นยอดอย่าง ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์, โรเบิร์ต ลี, ดาวิด ชิโนลา, โนลแบร์โต โซลาโน, โลร็องต์ โรแบร์, คีรอน ดายเออร์, สกอตต์ ปาร์คเกอร์ ผิดกับยุคนี้ที่เต็มไปด้วยจอมบู๊ อาทิ นิคกี บัตต์, แดนนี กัทธรี, เควิน โนแลน, อลัน สมิธ, โจอี บาร์ตัน ซึ่งยังเปลี่ยนทางบอลไม่ดีพอ ซ้ำยังขาดทีเด็ดในการยิงจากแถวสองอีก ทำให้หวังสกอร์จากตำแหน่งอื่นได้ยาก
ผู้เล่นบาดเจ็บฟื้นตัว-ไม่เดี้ยงเพิ่ม
อาการเดี้ยงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่รุมเร้าทีมดังย่านไทน์ไซด์ เพราะมักจะมีผู้เล่นสลับกันเข้า-ออกโรงหมออย่างไม่ขาดสาย เมื่อคนหนึ่งหายเจ็บ อีกคนก็มาขึ้นบัญชีเดี้ยงต่อ ยิ่งไปกว่านั้นบางครั้งก็มีนักเตะเจ็บกะทันหันก่อนลงสนาม ทำให้ทีมที่ลงตัวขาดความสมดุล กระทบต่อไปยังฟอร์มในสนามที่ไม่คุ้นกับแผนการเล่นที่ปรับแบบฉุกละหุก
ตัวอย่างที่ใกล้ที่สุดคือ 2 ตัวหลักอย่าง โอบาเฟมี มาร์ตินส์ กับ โฮเซ เอ็นริเก เจ็บต้นขาและเข่าตามลำดับในวันที่จะบุกเยือน สโต๊ค ซิตี (11 เมษายน) ทำให้ เชียเรอร์ ต้องปรับหมากจาก 4-4-2 ไปเป็น 5-3-2 ชนิดหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลก็คือตกเป็นฝ่ายตามหลังในครึ่งแรก กระทั่งมาตีเสมอ 1-1 ก่อนหมดเวลา 9 นาที หลังส่ง แอนดี คาร์โรลล์ กับ โฮนาส กูเตียร์เรซ ลงไปแก้เกมแล้ว ดังนั้น สตาฟฟ์โค้ชและทีมแพทย์จะต้องเฝ้าระวังสุดชีวิตไม่ให้มีใครเจ็บเพิ่มนับจากนี้ รวมถึงกลุ่มที่สภาพสมบูรณ์และกลุ่มที่กำลังฟื้นตัวต้องไม่กลับไปเดี้ยงซ้ำสองอีก
5 เกมสุดท้าย
นับว่าโปรแกรมช่วงโค้งสุดท้ายยังพอเป็นใจให้ นิวคาสเซิล โดยเป็นการลงเตะในรังเซนต์ เจมส์ ปาร์ค ถึง 3 นัด ยิ่งไปกว่านั้นคู่แข่งที่เตรียมรับมือยังเป็นทีมระดับเดียวกันอย่าง ปอร์ทสมัธ และ มิดเดิลสโบรช์ มีเพียง ฟูแลม ที่ผลงานซีซันนี้ดีผิดหูผิดตาที่อาจสร้างความลำบากอยู่บ้าง ส่วน 2 เกมเยือน ลิเวอร์พูล กับ แอสตัน วิลลา อาจหวังอะไรได้ไม่มากไปกว่า 1 คะแนน ซึ่งคงต้องมุ่งเน้นเก็บ 3 แต้มสถานเดียวในทุกแมตช์เหย้า
กระนั้น แฟนบอลชาวจอร์ดีไม่อาจเชียร์ให้ทีมโปรดคว้าชัยได้เพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องคอยภาวนาให้คู่แข่งร่วมชะตากรรมสะดุดเองด้วย ซึ่งผลคู่ระหว่าง ซันเดอร์แลนด์ กับ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน (25 เมษายน) สามารถเป็นตัวแปรสำคัญในกลุ่มหนีตายได้หากมีผู้ชนะ ขณะที่ในสัปดาห์เดียวกัน ฮัลล์ ซิตี น่าจะตกเป็นเหยื่อของ ลิเวอร์พูล และ มิดเดิลสโบรช์ คงไม่รอดกลับออกมาจากบ้าน อาร์เซนอล ส่วนวีกถัดไปคงยากที่จะมีสโมสรใดเก็บแต้ม เพราะเจอกับทีมครึ่งบนของตารางด้วยกันทั้งหมด
อีกช่วงที่น่าจะเป็นจุดพลิกผันสำคัญ คือ คิวเตะวันที่ 9-10 พฤษภาคมโดยขุนพลขาว-ดำจะรับมือคู่แข่งโดยตรงอย่าง มิดเดิลสโบรช์ ขณะที่คู่อื่นก็เป็นการหักล้างกันเองอย่าง แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส-ปอร์ทสมัธ กับ ฮัลล์ ซิตี-สโต๊ค ซิตี ส่วนเกม โบลตัน วันเดอเรอร์ส-ซันเดอร์แลนด์ ก็อาจมีเอฟเฟ็กต์ต่อเนื่องมายังลุ่มน้ำไทน์ก็เป็นได้