จุดเปลี่ยน “เอฟวัน” หาแชมป์แบบเอคเคิลสโตน

เป็นอีกครั้งที่เบอร์นีย์ เอคเคิลสโตน ผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ประจำการแข่งขันฟอร์มูลา วัน ผุดไอเดียสำหรับศึกความเร็วทางเรียบชิงแชมป์โลก ด้วยการเตรียมนำระบบมอบเหรียญแบบในกีฬาโอลิมปิก มาแทนการคิดคะแนนหาแชมป์โลกแบบเดิมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งระบบดังกล่าวนอกจากจะเป็นการพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่เอฟวันแล้ว ยังมีคำถามมากมายเกิดขึ้นว่าการมอบเหรียญแทนคิดแต้มจะเป็นบทพิสูจน์ฝีมือของแชมป์ได้จริงหรือไม่

หลังจากฤดูกาล 2008 ที่ผ่านมา ลูอิส แฮมิลตัน ยอดนักซิ่งจากอังกฤษสังกัดแม็คลาเรน คว้าแชมป์โลกไปครองด้วยการทำคะแนนเฉือน เฟลิเป มาสซา นักแข่งเฟอร์รารีไปเพียง 1 แต้มเท่านั้น แต่ถ้าดูจากผลการแข่งขันทั้ง 18 สนาม จะพบว่านักขับบราซิเลียนจากทีมม้าลำพอง คว้าชัยชนะได้มากกว่า 6 ต่อ 5 สนาม ส่งผลให้ เจ้าพ่อเอฟวันมองว่า นักขับที่คว้าแชมป์สนามได้มากที่สุดน่าจะคู่ควรกับตำแหน่งแชมป์ประจำปีไปครองมากกว่า

โดยแนวความคิดของผู้จัดร่างเล็กนั้นต้องการ ที่จะให้นักขับที่ยืนโพเดียมในอันดับ 1 ,2 และ 3 ของแต่ละสนาม ได้รับเหรียญทอง,เงิน และทองแดง เหมือนนักกีฬาในโอลิมปิก แทนการได้ 10 ,8 และ 6 คะแนน อย่างที่ผ่านมา ส่วนนักขับที่จบอันดับตั้งแต่ที่ 4 ลงไป ก็จะได้คะแนนลดหลั่นลงไปตามลำดับ ขณะที่การคิดคะแนนรวมในตารางแชมเปียนชิปจะคิดจากเหรียญรางวัลก่อน ตามด้วยคะแนนที่ได้ ซึ่งจะส่งผลให้นักขับที่ได้แชมป์สนามมากที่สุดเป็นผู้ได้แชมป์โลกไปชื่นชม

โดย เอคเคิลสโตน เผยถึงเป้าหมายขอตนเองว่า "ที่ผ่านมามีหลายคนต่อต้านแนวคิดของผม ซึ่งผมคิดว่าพวกเขาด่วนตัดสินใจเกินไป การคิดแต้มระบบเก่าที่แชมป์สนามมีแต้มมากกว่าอันดับสองเพียง 2 คะแนน เป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมกับผู้ชนะ ผมมั่นใจ 100 เปอร์เซนต์ว่า วิธีการนี้คือวิธีการที่ถูกต้องที่สุด มันทำให้นักขับไล่ตามกันได้สนุกขึ้นแน่นอน"

ในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา สหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ (เอฟไอเอ) ได้หยิบยกเอาแนวคิดดังกล่าวมาวิเคราะห์ในที่ประชุม ซึ่งพบว่าหากนำระบบมอบเหรียญมาใช้ย้อนหลังไปในอดีตที่ผ่านมา จะทำให้ประวัติศาสตร์รถสูตรหนึ่งเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยจะมีถึง 13 ฤดูกาลที่แชมป์โลกตามระบบการคิดคะแนนไม่ได้เป็นแชมป์โลกตามแนวทางของเอคเคิลสโตน

นอกจาก แฮมิตตัน ที่จะเสียแชมป์ให้ มาสซาในฤดูกาลที่ผ่านมาแล้ว ยังจะทำให้ สไตร์ลิง มอสส์ นักขับอังกฤษ ที่คว้าแชมป์ได้ 4 จาก 11 สนาม ในปี 1958 ได้แชมป์โลกแทนที่ ไมค์ ฮอร์ธอร์น นักขับเพื่อนร่วมชาติที่ได้แชมป์เพียงสนามเดียว แต่จบอันดับที่สอง ถึง 5 สนามในปีนั้น นอกจากนี้ เนลสัน ปิเก ที่มีดีกรีแชมป์โลก 3 สมัย จะได้แชมป์ในปี 1981 เพียง ครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนไอร์ตัน เซนนา จะมีดีกรีแชมป์โลก 4 สมัยก่อนจบชีวิต

ด้วยผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ ทำให้ไอเดียบรรเจิดของเอคเคิลสโตน ถูก เอ็ดดี จอร์แดน อดีตเจ้าของทีมจอร์แดนกรังด์ปรีซ์ ออกมาคัดค้านสุดตัวว่า "มันเป็นแนวความคิดที่ไร้สาระมาก ผมคิดว่าเขาคงไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง เขามองว่าผู้ชนะในแต่ละสนามคือคนที่สุดยอดที่สุด แต่ว่า 1 แต้มในเอฟวันถือว่ามีความสำคัญมาก ดูได้จากการคว้าแชมป์ในปีที่ผ่านมาของแฮมิลตัน"

เช่นเดียวกับ แฮมิลตัน แชมป์โลกคนล่าสุด ที่มองว่า "สิ่งสำคัญที่สุดคือความคงเส้นคงวา มันคือหน้าที่ของนักขับและทีมงานที่จะทำผลงานให้ดีที่สุดตลอดทั้งฤดูกาล ไม่ว่าจะเข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 ,2 หรือ 3 ก็มีความสำคัญทั้งสิ้น คนที่คว้าแชมป์ได้มากสนามที่สุดที่สุดบางทีก็ไม่ได้เก่งที่สุดเสมอไป"

สอดคล้องกับความเห็นของ โรเบิร์ต คูบิกา นักขับบีเอ็มดับเบิลยู "มันไม่น่าจะช่วยให้การแข่งขันสนุกขึ้น เป้าหมายของเอคเคิลสโตนคือต้องการให้แซงกันในสนามมากๆ ที่ผ่านมาผมยืนยันได้เลยว่านักขับทุกคนต้องการจะแซงคู่แข่งทั้งสิ้น แต่บางทีกับจังหวะอันน้อยนิด การประคองรักษาอันดับ 4 หรือ 5 แล้วมีคะแนนติดมือ ก็เป็นเรื่องที่น่าพอใจมากกว่า"

มีเพียง มิกา ฮัคคิเนน อดีตแชมป์โลกชาวฟินแลนด์จากทีมแม็คลาเรน เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ออกมาขานรับแนวคิดนี้ "ผมคิดว่ามันเป็นไอเดียที่น่าสนใจมาก คุณลองคิดดู เมื่อคุณขับอยู่ในอันดับที่ 5 หรือ 6 คุณจะอยู่เฉยไม่ได้แน่ นักแข่งทุกคนจำเป็นที่จะต้องเร่งเครื่องแบบสุดฝีมือ เพื่อขึ้นไปยืนบนโพเดียม มันจะทำให้มีการแซงกันมากขึ้นและสนุกตื่นเต้นขึ้นแน่นอน"

แม้จะยังไม่มีข้อสรุปว่าการคิดคะแนนจากเหรียญทองจะเป็นวิธีการตัดสินหาแชมป์โลกที่สมบูรณ์แบบที่สุดหรือไม่ รวมถึงแนวคิดดังกล่าวยังต้องถูกเอฟไอเอนำไปศึกษาเพิ่มเติมอีกครั้ง และยังไม่น่าจะนำมาใช้ฤดูกาลนี้ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นโปรเจกของเจ้าพ่อเอฟวันอย่างเอคเคิลสโตน แล้ว บางทีในปี 2010 เราอาจจะเห็นลูอิส แฮมิลตัน ขึ้นโพเดียมโดยมีเหรียญรางวัลคล้องคอก็เป็นได้