ทันทีที่ ซานโตนิโอ โฮล์มส ปีกนอกร่างเล็กปักเท้า 2 ข้างตรงมุมเอ็นด์โซนยืดตัวรับบอล 6 หลาจาก เบน โรธลิสเบอร์เกอร์ เป็นทัชดาวน์นำชัยให้ “คนเหล็ก” พิตต์สเบิร์ก สตีลเลอร์ส บดเอาชนะ อริโซนา คาร์ดินัลส์ 27-23 “เทอร์ริเบิล ทาวเวิล” ผ้าขนหนูสีเหลืองก็โบกไสวทั่วสนามเรย์มอน เจมส์ สเตเดียม ในเมืองแทมปา รัฐฟลอริดา เพราะประวัติศาสตร์ได้เกิดขึ้นแล้ว
เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา พิตต์สเบิร์ก สตีลเลอร์ส ทีมขวัญใจมหาชนลงชิงชัยความเป็นหนึ่งของศึกอเมริกัน ฟุตบอล เอ็นเอฟแอล (NFL) ประจำฤดูกาล 2008/09 กับ อริโซนา คาร์ดินัลส์ ทีมรองบ่อนที่ก่อนแข่งถูกปรามาสให้เป็นรองถึง 6 คะแนนครึ่ง แต่ทำไปทำมา “คนเหล็ก” ต้องกระเสือกกระสนเอาตัวรอดกลับมาคว้าแชมป์สมัยที่ 6 ทำสถิติครองซูเปอร์โบว์ลสูงสุดแซงหน้าคู่แข่งอย่าง ซานฟรานซิสโก โฟร์ตีไนเนอร์ส และ ดัลลัส คาวบอยส์ สำเร็จ
ท่ามกลางสักขีพยาน 70,744 คนในสนาม สตีลเลอร์ส ดูมีภาษีเหนือกว่าจากการขึ้นนำ 17-7 เมื่อจบครึ่งแรกหลังได้ทีเด็ด เจมส์ แฮร์ริสัน อินเทอร์เซปต์วิ่งย้อนทัชดาวน์ 100 หลา เป็นสถิติวิ่งย้อนไกลที่สุดเท่าที่ซูเปอร์โบว์ล เคยมีมา แถมเข้าสู่ควอเตอร์สุดท้ายยังทิ้งเป็น 20-7 แต่ คาร์ดินัลส์ มีลูกฮึดอาศัยทีเด็ดของ เคิร์ต วอร์เนอร์ ควอเตอร์แบ็ก “ซินเดอเรลลา” ผู้เคยพา เซนต์หลุยส์ แรมส์ ครองซูเปอร์โบว์ลมาแล้วเมื่อปี 2000 ขว้างสองทัชดาวน์ให้ แลร์รี ฟิตซ์เจอรัลด์ ปีกคู่ใจ แถมทีมรับกดดันจน “คนเหล็ก” เสียเซฟตี้ “นกหัวแดง” กลับมานำบ้าง 23-20
แม้เวลาในสนามเหลืออีกเพียง 2.37 นาที แต่ เบน โรธลิสเบอร์เกอร์ พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นยอดควอเตอร์แบ็กปั้นไดรฟ์กินระยะ 75 หลา ก่อนขว้างโด่งเข้ามุมเอ็นด์โซนให้ ซานโตนิโอ โฮล์มส รับทัชดาวน์ก่อนหมดเวลา 35 วินาทีช่วยให้ สตีลเลอร์ส บดชัย คาร์ดินัลส์ ไปอย่างสนุก 27-23 คว้าแชมป์ซูเปอร์โบว์ล ครั้งที่ 43 มาครองได้อย่างเต็มภาคภูมิ และก็เป็นแชมป์สมัยที่ 6 ของเฟรนไชส์ (ปี 1975, 1976, 1979, 1980, 2006 และ 2009)
ความสำเร็จตรงนี้ต้องยกย่องการตัดสินใจของ แดน รูนีย์ ผู้รับมรดกตกทอดมาจาก อาร์ท รูนีย์ ผู้พ่อ นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 70 เขาให้โอกาสโค้ชได้ทำงานอย่างเต็มที่ สองปีก่อนสื่อพากันตั้งคำถามว่าทำไมถึงเลือก ไมค์ ทอมลิน อดีตโค้ชทีมรับ มินเนโซตา ไวกิงส์ ขึ้นมาเป็นเฮดโค้ชแทน บิลล์ คาวเออร์ ทั้งที่ เคน ไวเซนฮันท์, รัสส์ กริมม์ มีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับการโปรโมต แต่ถึงวันนี้คำตอบคงกระจ่างชัด
เมื่อ ทอมลิน เป็นโค้ชคนที่สามต่อจาก ชัค โนลล์ และ คาวเออร์ พาสตีลเลอร์สขึ้นสู่จุดสูงสุด ที่สำคัญเขายังจารึกประวัติศาสตร์ให้ตัวเองกลายเป็นหัวหน้าโค้ชอายุน้อยที่สุด (36 ปี) ที่นำทีมเป็นแชมป์ซูเปอร์โบว์ล ทำลายสถิติเดิมที่ จอน กรูเดน เคยทำเอาไว้ที่ 39 ปีครั้งผลักดัน แทมปาเบย์ บัคคาเนียร์ส ครองความสำเร็จเมื่อ 6 ปีก่อน อีกทั้ง ทอมลิน ยังเป็นโค้ชผิวสีรายที่ 2 ต่อจาก โทนี ดันจี อดีตหัวเรือใหญ่ อินเดียนาโปลิส โคลต์ส ที่ก้าวถึงตำแหน่งแชมป์ด้วย
ภายหลัง ทอมลิน ให้สัมภาษณ์ได้อย่างน่าชื่นชม “ผมไม่ได้สนใจเรื่องความสำเร็จส่วนตัว ผมใส่ใจเกี่ยวกับการเพิ่มเกียรติประวัติแก่ สตีลเลอร์ส ส่วนเกมการแข่งขันผมเชื่อว่าเราทำสกอร์กันได้ ผมแค่อยากให้ลูกทีมได้คะแนนเร็ว สำหรับเราแล้วฟุตบอลสไตล์ สตีลเลอร์ส ต้องเล่นให้ครบ 60 นาทีเต็ม”
ด้าน เบน โรธลิสเบอร์เกอร์ ลบคำสบประมาทของหลายคนที่มองว่าครั้ง “คนเหล็ก” เถลิงแชมป์เมื่อสามปีก่อน เขาแทบไม่ได้สร้างผลงานจากการขว้างสำเร็จเพียง 9 จาก 21 ครั้ง ได้ระยะแค่ 123 หลา แถมเสียถึง 2 อินเทอร์เซปต์ แต่ในเกมกับ คาร์ดินัลส์ จอมทัพวัย 26 ปี ปล่อยบอลเข้าเป้า 21 จากโอกาสสะบัดแขน 30 ครั้ง ได้ระยะ 256 หลา 1 ทัชดาวน์ หนึ่งอินเทอร์เซปต์ และ “บิ๊กเบน” ก็กลายเป็นควอเตอร์แบ็กคนที่ 10 ในประวัติศาสตร์ NFL ที่มีแหวนแชมป์อยู่ในมือ 2 วง (เป็นอย่างน้อย) ซึ่งหลังเกมเจ้าตัวกล่าวอย่างมั่นใจบ่งบอกถึงความเป็นผู้นำ “เรารู้ว่ายังมีโอกาสคัมแบ็กและก็ทำกันได้”
ส่วนพระเอกของงานนี้ ซานโตนิโอ โฮล์มส เจ้าของฉายา "โฮล์มส สวีต โฮล์มส์" ภายหลังการแข่งขันเนื่องมาจากผลงานรับบอลไป 131 หลา 1 ทัชดาวน์ จนได้รับตำแหน่ง MVP ซึ่งเจ้าตัวให้เครดิตเพื่อนร่วมทีมว่า “ผมต้องการเป็นผู้เล่นที่สร้างเพลย์ให้แก่ทีมๆ นี้ ผู้เล่นชั้นยอดมักก้าวขึ้นมาในจังหวะสำคัญของเกมเพื่อสร้างเพลย์ แม้ผมเสียความมั่นใจไปบ้าง แต่ผมรู้ดีว่าทีมรับของเราให้โอกาสทีมกลับมาได้”
ในเกมกีฬาย่อมมีทั้งผู้แพ้และชนะ แม้ ดาร์เนลล์ ด็อกเกตต์ ดีเฟนด์ซีฟ แท็คเกิล คาร์ดินัลส์ เคยกล่าวเอาไว้ว่าไม่มีใครมานั่งจดจำฝ่ายที่ปราชัยในซูเปอร์โบว์ล อย่างไรก็ตาม ต้องชมเชยสปิริตของขุนศึก “นกหัวแดง” ดั่งที่ ไวเซนฮันท์ เชิดชูลูกทีมของเขา “เราแสดงความเป็นตัวตนที่ยอดเยี่ยมมาตลอดทั้งเดือน ผมภูมิใจในความเป็นนักสู้ของทีมนี้” ในส่วนของ สตีลเลอร์ส การคว้าแชมป์หนนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นของยุคที่มี ทอมลิน คุมบังเหียน อีกไม่นานเกินรอเราอาจได้เห็น “ไดนาสตี” เทียบเคียงโค้ชระดับตำนานอย่าง โนลล์ อีกก็เป็นได้