ตลาดซื้อ-ขายนักเตะรอบสองทั่วทั้งยุโรปจะเปิดทำการรับศักราชใหม่ในวันที่ 1 มกราคม 2552 หลายทีมตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อที่จะหาผู้เล่นใหม่เข้ามายกระดับ รวมถึงอุดรอยรั่วที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก แต่คงมีอีกหลายทีมที่กล้าๆ กลัวๆ จะควักเงินในช่วงครึ่งทางแบบนี้ เพราะไม่มีใครสามารถการันตีได้เลยว่าผู้เล่นที่ซื้อมาจะเป็นจิ๊กซอว์ที่ใส่ได้อย่างลงตัว
หลายทีมล้วนมีเป้าหมายของตัวเองไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ต้องการหว่านเม็ดเงินที่มีแบบไม่อั้นของมหาเศรษฐีชาวอาหรับ ซื้อซูเปอร์สตาร์เข้าสู่ทีม ส่วน อาร์เซนอล ต้องการมิดฟิลด์คนใหม่เพื่อมาแทน เชส ฟาเบรกาส จอมทัพที่เจ็บยาว 4 เดือน ด้าน ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ส อยากได้ปีกซ้าย รวมถึงกองหน้าคมๆ ที่ไว้ใจได้มาช่วยยิงประตูให้หนีพ้นโซนตกชั้นเสียที
จริงอยู่ที่ว่าคือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่สามารถพลิกสถานการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะผู้เล่นที่เข้ามาใหม่อาจจะเป็นกุญแจที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการลุ้นแชมป์หรือหนีตกชั้นก็เป็นได้ แต่ก็เป็นช่วงที่ต้องเรียกว่า "ตาดีได้ ตาร้ายเสีย" เนื่องจากมีปัจจัยหลายประการเข้ามาเกี่ยวข้องจนกลายเป็นความเสี่ยงในการที่จะหาซื้อนักเตะในช่วงกลางฤดูกาลแบบนี้ จนทำให้ผู้จัดการทีมและนักเตะหลายต่อหลายคนประสบปัญหามาแล้ว
เริ่มต้นด้วยปัจจัยที่ปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจนก็คือระยะเวลา 1 เดือนจากนี้ถือว่าน้อยและกระชั้นชิดเกินไป รอย ฮอดจ์สัน กุนซือที่เข้ามาทำ ฟูแลม รอดตกชั้นจากเวที
พรีเมียร์ชิป เมื่อฤดูกาลที่แล้ว กล่าวว่า "คือความเสี่ยงอย่างหนึ่ง ผมไม่อยากที่จะนำผู้เล่นเข้ามาในสัญญาระยะสั้น พวกเขาไม่เพียงจะต้องเข้ามาช่วยเราให้รอดพ้นการตกชั้นเท่านั้น แต่นักเตะเหล่านั้นต้องทำให้ทีมแข็งแกร่งในอนาคตได้ด้วย"
อดีตนายใหญ่ อินเตอร์ มิลาน วัย 61 ปี เผยอีกว่า "เมื่อพูดถึงการซื้อขายนักเตะในช่วงเดือนมกราคมผมคิดว่าเป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะมันเป็นโอกาสเสริมทีมครั้งเดียวที่มีทั้งฤดูกาล เมื่อครั้งผมไปคุมทัพที่ กัลโช เซเรีย อา อิตาลี ตอนนั้นตลาดเปิดซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายมาก เพราะทุกทีมต่างพยายามที่จะขวนขวายหาแต่นักเตะดีๆ กันทั้งนั้น"
ถัดมาเป็นเรื่องของการปรับตัวสำหรับนักเตะที่ต้องย้ายลีกไปค้าแข้งอีกประเทศหนึ่ง เนมานยา วิดิช กองหลังชาวเซิร์บ และ ปาทริช เอวรา แบ็กซ้ายทีมชาติฝรั่งเศส เคยประสบปัญหาจุดนี้ตอนย้ายจาก สปาร์ตัก มอสโก และ โมนาโก ตามลำดับ มาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อช่วงต้นปี 2006 โดยเฉพาะรายหลังที่ออกมาบ่นในเรื่องของอาหารการกินและสภาพอากาศที่แปรปรวนของเมืองผู้ดี จนเกือบที่จะถอดใจย้ายออกไปแล้ว
ต่อมาคือเรื่องของกฎระเบียบที่ทำให้ผู้เล่นบางคนต้องติดคัพไทคือไม่สามารถลงเล่นให้กับต้นสังกัดใหม่ในถ้วยที่ลงเตะให้กับทีมเก่าไปแล้ว โดยเฉพาะในศึกใหญ่อย่าง ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ระยะหลังสโมสรใหญ่จึงไม่นิยมซื้อนักเตะในช่วงปีใหม่กัน เช่น เฟอร์นานโด มอริเอนเตส หอกหน้าหยกที่ ราฟาเอล เบนิเตซ ดื้อซื้อจาก รีล มาดริด มาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ในปี 2005 ด้วยค่าตัว 6.5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 338 ล้านบาท) แต่ไม่ได้เล่นในนัดชิงจ้าวยุโรปกับ เอซี มิลาน
ปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมานี้ส่งผลให้มีผู้เล่นมากมายที่ย้ายทีมในช่วงกลางฤดูกาลแบบนี้แล้วไม่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็น โฮเซ อันโตนิโอ เรเยส กองหน้าที่แจ้งเกิดกับ เซบีญา แต่ว่ามาดับกับ อาร์เซนอล อย่างแท้จริง ย้ายมาเมื่อปี 2004 ด้วยค่าตัวที่จะพุ่งสูงถึง 17 ล้านปอนด์ (ประมาณ 884 ล้านบาท) แล้วแต่เงื่อนไข แต่สุดท้ายปรับตัวเข้ากับเกมหนักของ พรีเมียร์ชิป ไม่ได้ ล่าสุดอดีตหอกทีมชาติสเปน เร่ร่อนไปอยู่กับ เบนฟิกา ในโปรตุเกส
นักเตะกองกลางอย่าง สกอตต์ ปาร์คเกอร์ ก็แจ้งดับจากการย้ายทีมช่วงปีใหม่เช่นกัน เมื่อโยกจาก ชาร์ลตัน แอธเลติก ไปอยู่กับ เชลซี ด้วยค่าตัว 10 ล้านปอนด์ (ประมาณ 520 ล้านบาท) ในปี 2004 แต่สุดท้ายไม่ค่อยได้ลงสนามและหลุดจากทีมรวมถึงหมดอนาคตในทีมชาติอังกฤษ ที่ย้ายแพงๆ แต่ผิดหวังอีกก็มี ฌอง อแล็ง บูมซง กองหลังสัญชาติฝรั่งเศส ที่ อินเตอร์ และ ลิเวอร์พูล อยากได้นักหนา แต่ความซวยไปตกกับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ที่ซื้อบ่อน้ำมันไปด้วยราคา 8 ล้านปอนด์ (ประมาณ 416 ล้านบาท) จาก กลาสโกว์ เรนเจอร์ส เมื่อปี 2005
แต่ที่เลวร้ายสุดๆ คงจะเป็นทีมในโซนท้ายตารางที่มักจะเป็นทีมเล็กๆ มีงบประมาณไม่มากต้องยอมกลืนเลือดควักเงินเพื่อลุ้นให้ทีมอยู่รอดอย่าง คริสตัล พาเลซ ที่จ่าย 2.75 ล้านปอนด์ (ประมาณ 143 ล้านบาท) แลกกับ วาเลเรียง อิสมาเอล กองหลังฝรั่งเศส เมื่อปี 1998 เพื่อจะมาอุดเกมรับ แต่สุดท้ายก็ไม่วายต้องตกชั้นจาก พรีเมียร์ชิป อยู่ดี
ทั้งหมดที่กล่าวมาคือปัจจัยที่บ่งชี้ให้เห็นว่าการซื้อนักตะในช่วงตลาดเปิดหน้าหนาวค่อนข้างที่จะมีความเสี่ยงสูง กุนซือจึงจำเป็นที่จะต้องพินิจพิเคราะห์และตัดสินใจอย่างถี่ถ้วน ส่วนนักเตะเองก็ต้องระมัดระวังเพื่อไม่ให้การย้ายทีมในช่วงแบบนี้เป็นการขุมหลุมฝังอนาคตของตัวเองเช่นกัน
