เป็นเวลา 3 ฤดูกาลติดต่อกันที่ศึกพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ จบลงด้วยการที่ทีมระดับบิ๊กโฟร์อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชลซี ลิเวอร์พูลและอาร์เซนอล ยึดครอง 4 อันดับแรกของตารางจนทำให้มีคำถามตามมาว่า ทั้งสี่ทีมนี้จะเวียนกันครองถ้วยอยู่กลุ่มเดียวไม่แบ่งให้ทีมระดับกลางหรือต้นตารางให้ได้มีโอกาสเชยชมบ้างหรืออย่างไร
คำถามดังกล่าวดูจะมีคำตอบที่ชัดเจนขึ้นในฤดูกาลนี้เมื่อสัญญาณบางอย่างจากผลการแข่งขันที่แสดงให้เห็นว่าอนาคตข้างหน้าบัลลังก์อันเหนียวแน่นของทีมยักษ์ใหญ่ข้างต้นกำลังจะถูกสั่นคลอน
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ถ้วยพรีเมียร์ลีกมีโอกาสเปลี่ยนมือมาจากกลุ่มบิ๊กโฟร์นั้น ส่วนหนึ่งมาจากการปรับตัวขนานใหญ่ของทีมระดับระดับกลางไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่มีเงินทุนสนับสนุนมาจากกลุ่มทุนอาหรับ แม้ว่าในปัจจุบันผลงานของ “เรือใบสีฟ้า” อาจจะยังไม่ดีอย่างที่คิด แต่ถ้าท่อน้ำเลี้ยงยังถูกส่งอย่างสม่ำเสมออนาคตที่ ทีมคู่แข่งร่วมมือของ แมนฯยูไนเต็ด จะก้าวขึ้นมาผงาดในเวทีพรีเมียร์บ้างก็มีโอกาสอยู่ไม่น้อย
นอกจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้แล้ว ยังมีทีมระดับกลางที่ถูกจับตาในความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ฤดูกาลก่อนที่จบในอันดับที่ 6 ของตารางได้สิทธิไปยูฟ่าคัพ ส่วนปีนี้เมื่อการแข่งขันผ่านมาเกือบครึ่งทาง “สิงห์ผงาด”สร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจเมื่อสามารถเกาะกลุ่มสับเปลี่ยนหมุนเวียนตำแหน่งอยู่ใน 5 อันดับแรกร่วมกับบรรดาบิ๊กโฟร์ ผลงานเช่นนี้ทำให้เกจิลูกหนังอังกฤษพากันจับตามองชนิดไม่กระพริบตาและมีบางส่วนวิเคราะห์ว่า วิลล่า มีโอกาสไม่น้อยทีเดียวที่จะเบียดแทรกเข้ามาจบซีซั่นเป็น 4 ทีมแรกของตาราง
ดังเช่นความเห็นของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีม แมนฯ ยูไนเต็ดที่ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงทีมดังจากเมืองเบอร์มิ่งแฮมว่า “พวกเขามีโอกาสจบฤดูกาลในฐานะทีมสี่อันดับแรกของตารางหากยังคงรักษามาตรฐานการเล่นได้เช่นนี้ ที่สำคัญคะแนนในตารางก็ตามหลังพวกเราไม่ห่างนัก ส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่เหล่า “บิ๊กโฟร์” จะต้องขับเคี่ยวกับทีมที่มีคุณภาพอย่าง “วิลล่า”
ความคิดเห็นของผู้จัดการทีมที่ได้ชื่อว่าเป็น “โยดา” แห่งพรีเมียร์ลีกนั้นเป็นการวิเคราะห์จากบุคคลภายนอก แต่ถ้ามองให้ลึกไปถึงปัจจัยภายในจะพบว่าสถานปัจจุบันของ “แอสตัน วิลล่า” นั้นมีความพร้อมเหนือกว่าคู่แข่งอีก 16 ทีมของลีกด้วยเช่นกันไม่ว่าจะเป็นเงินทุน ที่แรนดี เลอร์เนอร์ ประธานสโมสรและเป็นนักธุรกิจชาวอเมริกันซึ่งมีทรัพย์สินส่วนมูลค่ารวมกันทั้งสิ้นกว่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจของโลกกำลังอยู่ในสภาวะถดถอย แต่ บิ๊กบอสรายนี้ก็พร้อมที่จะทุ่มเงินเพื่อสนับสนุนการสร้างทีมให้แข็งแกร่งขึ้นเพราะต้องการให้ทีมผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่ล่าสุดนั้นได้ออกมาประกาศว่าเตรียมเงินเป็นจำนวน 18 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1.1 พันล้านบาท) ให้ มาร์ติน โอนีล กุนซือของทีมหาผู้เล่นมาเสริมแกร่งในช่วงเดือนมกราคมที่ตลาดซื้อขายนักเตะจะเปิดอีกครั้ง
นอกจากนี้ เลอร์เนอร์ ยังวางเดิมพันครั้งสำคัญแม้ว่าอาจจะพลาดเงินค่าตัวอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยของ แกเร็ธ แบร์รี มิดฟิลด์ตัวเก่งที่ได้รับความสนใจจาก ลิเวอร์พูล และ อาร์เซนอล โดยเข้าเจรจากับกองกลายรายนี้เพื่อขอให้อย่าเพิ่งทิ้งทีมไปกลางคันในช่วงเดือนมกราคมนี้ แต่อยู่ช่วยทีมทำอันดับต่อไปจนกระทั่งจบฤดูกาลค่อยตัดสินใจอีกครั้ง โดยการรั้งตัวดาวเตะรายนี้ไว้ต่อไปแม้จะเป็นเพียง 6 เดือนก็ตามก็อาจจะทำให้ค่าตัวลดลงไปอีกอย่างน้อย 2 ล้านปอนด์ (ประมาณ 120 ล้านบาท) จากเดิมที่เคยถูกยื่นข้อเสนอมาเป็นจำนวน 18 ล้านปอนด์ (ประมาณ 528 ล้านบาท) เนื่องจากสัญญากับทีมจะลดลงเหลืออีกเพียงปีเดียว
อีกหนึ่งปัจจัยได้เปรียบของวิลล่าคือการมีกุนซือฝีมือดีอย่าง มาร์ติน โอนีล มากุมบังเหียนเพราะนี่คือสุดยอดผู้จัดการทีมที่วงการฟุตบอลเมืองผู้ดีให้การยอมรับในผลงานเป็นอย่างมากจากผลงานการพาสโมสรเล็กๆอย่าง เลสเตอร์ ซิตี คว้าแชมป์ลีกคัพ ได้ถึงสองสมัยในปี 1997 และ 2000 หลังจากนั้นเมื่อย้ายไปคุม กลาสโกว์ เซลติก ยักษ์ใหญ่แห่งลีกสกอตแลนด์ยังพาทีมคว้าแชมป์ลีกมาครอง 3 สมัยรวมถึงการนำทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่า คัพ เมื่อปี 2002-03
นอกเหนือจาก เงินทุนหนา ผู้จัดการทีมเด่นแล้ว อีกประการที่ดีของวิลล่าคือผู้เล่นของทีมที่มีความสามารถเฉพาะตัวสูงไม่ว่าจะเป็น แกเร็ธ แบร์รี แอชลีย์ ยัง และ กาเบรียล อักบอนลาฮอร์ ขณะที่ขุนพลรุ่นเก่าที่มากประสบการณ์ อย่าง ยอห์น คาริว ศูนย์หน้าชาวนอร์เวย์ ก็กลับมาทำผลงานดีอีกครั้ง รวมถึง มาร์ติน เลาร์เซนกองหลังชาวเดนมาร์กที่ทำให้เกมรับของทีมแทบจะไม่มีจุดบอด
ปัจจัยสุดท้ายที่จะทำให้วิลล่า มีโอกาสเข้ามาสอดแทรกในฐานะทีมหนึ่งในสี่ของบิ๊กโฟร์เห็นจะเป็นภาวะเสื่อมสภาพของ เหล่าทีมใหญ่เองโดยเฉพาะอาร์เซนอล ที่ฤดูกาลนี้ประสบปัญหาตัวผู้เล่นขาดนักเตะประสบการณ์สูงเนื่องจากถูกปล่อยตัวออกไปเมื่อช่วงปิดฤดูกาลจนทำให้ “ปืนใหญ่”พ่ายทีมเล็กอย่าง สโต๊ค ซิตี หรือ ฟูแล่ม มาแล้ว
ทั้งหมดนี้คือเหตุแลปัจจัย ที่อาจทำให้สโมสรขนาดกลางหากแต่ทุนและกำลังใจหนาอย่าง “แอสตัน วิลล่า” มีโอกาสขึ้นมาผงาดเป็นทีมระดับ “บิ๊กโฟร์” ซึ่งเมื่อพิจารณาตามบทวิเคราะห์แล้วจะเห็นว่าโอกาสของพวกเขานั้นมีเกินกว่าครึ่ง และถ้าทำได้จริงทีม “สิงห์ผงาด”จะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จไม่จำเป็นที่ต้องซื้อได้ด้วยเงินเสมอไป หากแต่ความอดทนและมุ่งมั่นก็สามารถก้าวไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้เช่นกัน