ภาพการผูกขาดที่เกิดขึ้นกับวงการเทนนิสโลกตลอดหลายปีที่ผ่านมาแฟนลูกสักหลาดจะคุ้นตากับ ชื่อของ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ และ ราฟาเอล นาดาล กลายเป็นภาพรวมและความเคลื่อนไหวสำคัญของเทนนิสโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายการระดับแกรนด์สแลม นั้นทั้งคู่แทบจะผูกปีพบกันในรอบชิงชนะเลิศเลยทีเดียว
หากแต่ภาพแห่งการผูกขาดเริ่มจางลง เมื่อการแข่งขันสแลมออสซี่ในปี 2008 ดำเนินมาถึงรอบตัดเชือก โนวัค ยอโควิช หวดดาวรุ่งจากเซอร์เบีย พลิกชนะ เฟเดอเรอร์ ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับ โจ-วิลฟรีด ซองกา หวดฝรั่งเศสวัย 23 ปีซึ่งเอาชนะ นาดาล เข้ามาได้เช่นกันนับเป็นรอบชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมหนแรกในรอบ 5 ปีที่ เฟเดอเรอร์ และ นาดาล ไม่มีส่วนร่วม
ต่อมาช่วงกลางปีเหมือน "อำนาจเก่า" จะกลับมาเมื่อ นาดาล ควง เฟดเอ็กซ์ ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ เฟรนช์ โอเพน และ วิมเบิลดัน โดยเฉพาะรายการหลังตื่นเต้นสูสีเข้าขั้นมหากาพย์ โดยผลสุดท้ายหนุ่มสเปนเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 3-2 เซตใช้เวลาแข่งขัน 5 ชั่วโมงเศษ ขณะที่ ยูเอส โอเพ่น ในเดือนกันยายนเป็น เฟเดอเรอร์ ที่รับบทพระเอกป้องกันแชมป์สมัยที่ 5 ไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน
ทว่าหลังจากนั้นเป็นต้นมากลับกลายเป็น แอนดี เมอร์เรย์ หนุ่มสกอตวัย 21 ปีรองแชมป์ยูเอส โอเพ่น เร่งฟอร์มเก่งคว้าแชมป์ มาดริด มาสเตอร์ส และ ป้องกันแชมป์รายการยักษ์ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์กได้สำเร็จจนอันดับคะแนนพุ่งขึ้นมาเป็นมือ 4 ของโลก ส่วน ซองกา ซึ่งเจ็บเข่าพักยาวไปหลายเดือนคัมแบ็คคว้าแชมป์เอทีพีรายการแรกในชีวิตที่เมืองไทย ก่อนจะบินไปยิ่งใหญ่ที่ ปารีส บ้านเกิดได้อีกรายการ และหล่อที่สุดคงหนีไม่พ้น ยอโควิช แชมป์ออสเตรเลียน โอเพนที่ฟอร์มตกไปหลายเดือนพลิกชะตากลับมาปิดฤดูกาลด้วยตำแหน่งแชมป์ มาสเตอร์ส คัพ ซึ่งหลายคนยกให้เป็นแกรนด์สแลมรายการที่ 5
หากมองมุมกว้าง ยอโควิช มีคุณสมบัติหลายอย่างเหมาะจะก้าวขึ้นไปเป็น "เทพ" เช่นเดียวกับ เฟดเอ็กซ์-ราฟา ไล่ตั้งแต่การใช้ลูกท้อปสปินหนักตีโต้ท้ายคอร์ต(กราวนด์สโตรก)ทำให้เสียแต้มยาก ตลอดจนลูกเสิร์ฟแรกมีประสิทธิภาพให้แต้มสูงถึง 74 เปอร์เซนต์ไม่แตกต่างจาก นาดาล(72 %)และ เฟดเดอเรอร์(77%) มากนัก
ในแมตช์รอบก่อนรองชนะเลิศยูเอส โอเพน ที่พบกับ แอนดี รอดดิก ขวัญใจอเมริกันชน ยอโควิช พบกับบททดสอบจิตใจครั้งสำคัญ เมื่อเขาถูกแฟนเทนนิสกว่า 2 หมื่นคนโห่ใส่ไม่หยุดจากกรณีเรียกแพทย์สนามเข้ามาดูอาการบ่อยเกินความจำเป็น โดยเจ้าตัวถึงขนาดยกให้เหตุการณ์วันนั้นเป็น"ประสบการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตนักเทนนิสอาชีพ"
จนแล้วจนรอด ยอโควิช วัย 21 ปีฟันฝ่าวิกฤตกลับสู่เส้นทางจนในที่สุดซิวแชมป์มาสเตอร์ส คัพ เป็นผลให้คะเเนนสะสมเหลือตามหลัง เฟเดอเรอร์ มือ 2 ของโลกแค่ 10 คะเเนน พร้อมกล่าวอย่างมั่นใจว่า "ผมเชื่อว่าตนเองมีศักยภาพเพียงพอจะก้าวขึ้นไปครองอันดับ 1 ของโลกหลังได้รับบทเรียนมาพอสมควรแล้ว"
ข้ามมาที่ โจ-วิลฟรีด ซองกา สไตล์การเล่นดุดันแถมยังมีเสน่ห์ดึงดูด จากหน้าตาที่คล้ายคลึงกับ โมฮัมหมัด อาลี อดีตยอดนักชกอเมริกัน โดยในฤดูกาล 2008 นักเทนนิสเชื้อสายฝรั่งเศส-คองโก อาศัยโฟร์แฮนด์กับลูกเสิร์ฟที่หนักหน่วง ตลอดจนร่างกายใหญ่โตแจ้งเกิดขยับจากที่ 43 ขึ้นมาอยู่อันดับ 7 ของโลกในเวลานี้
"ตอนแรกผมวางเป้าไว้ว่าจะติด 1 ใน 10 ตอนสิ้นปี ดังนั้นการได้ที่ 7 จึงนับว่าทำได้ตามเป้า ปีหน้าผมวางไว้ที่ 1 ใน 5 แต่ทั้งนี้ผมยังมีจุดอ่อนที่แบ็คแฮนด์และความฟิตซึ่งต้องแก้ไขกันต่อไป" ซองกา วางแผนและเตรียมแก้ไขข้อบกพร่อง
ทางด้าน แอนดี เมอร์เรย์ "ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์" ของชาวเมืองผู้ดี กำลังมุ่งมั่นฝึกซ้อมเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายอยู่ที่สถาบันนิค โบลเลตเทียรี ซึ่งปั้นนักเทนนิสชื่อดังมาแล้วหลายรายไม่ว่าจะเป็น อังเดร อากัสซี่ หรือ มาเรีย ชาราโปว่า โดยหวดหนุ่มชาวสก๊อตตั้งเป้าหมายคว้าแชมป์แกรนด์สแลมรายการแรกในปี 2009 ให้ได้หลังผลงานที่ผ่านมาเป็นแชมป์เอทีพี ทัวร์แล้ว 5 รายการหากแต่ยังไม่สามารถไปถึงจุดสูงสุดในรายการระดับ “สแลม” ได้สักที
สำหรับเมอร์เรย์ นั้น จอห์น แม็คเอนโร ตำนานลูกสักหลาดชาวอเมริกันซึ่งปัจจุบันผันตัวเองมาเป็นกูรูเทนนิสเคยออกมาชี้ว่า "เมอร์เรย์ มีทุกอย่างเหมาะสมจะเป็นแชมป์แกรนด์สแลมและก้าวขึ้นไปเป็นมือ 1 โลก ทั้งการเลือกเล่นลูกหนักเบา การขึ้นบีบหน้าเนต และวิญญาณเพชฌฆาต หากพัฒนาลูกเสิร์ฟอีกหน่อยเขาน่าจะสมบูรณ์แบบมากขึ้น"
ทั้งหมดนี้คือนักเทนนิสที่มีสิทธิ์เปลี่ยนโฉมหน้าเทนนิสโลกในฤดูกาล 2009 อันเป็นห้วงเวลาที่หลายคนเชื่อว่า เหล่าเทนนิสหน้าใหม่จะผลัดใบขึ้นมาแทนที่นักเทนนิสขาประจำที่ได้ชื่อว่าเป็น “อำนาจเก่า” ส่วนผลงานจะออกมาเป็นดังที่คาดหวังหรือไม่นั้นคงต้องวัดกันที่ขนาดของหัวใจและฝีมือเพราะไม่ว่าจะเป็น ยอโควิช ซองกาหรือ เมอร์เรย์ ทุกรายต่างมีศักยภาพที่ไม่แตกต่างกัน และ ออสเตรเลี่ยน โอเพ่น ในเดือนมกราคมนี้จะเป็นบททดสอบแรกสำหรับบรรดาคลื่นลูกใหม่ว่าพวกเขาจะมาแรงสักเพียงใด