คอลัมน์ Final Quarter โดย ลุงแซม
อันที่จริงสถิติชนะ 5 เสมอ 1 แพ้ 5 ยังไม่ถึงขนาดที่ว่า ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ โบกมือลาโอกาสเข้าเพลย์ออฟของศึกอเมริกัน ฟุตบอล เอ็นเอฟแอล (NFL) ฤดูกาล 2008/09 เสียทีเดียว เนื่องจากมีโอกาสกระชากตั๋วไวลด์การ์ดมาจาก ดัลลัส คาวบอยส์ และ วอชิงตัน เรดสกินส์ แต่การไม่ชนะใครเลยในสามเกมหลังสุดทำให้ “อินทรีมรกต” ต้องคิดการใดการหนึ่งแล้ว
นับตั้งแต่เปลี่ยนสหัสวรรษใหม่ ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ ถือเป็นหนึ่งในยอดทีมของฝั่งเอ็นเอฟซี (NFC) เป็นทีมระดับหัวแถวของดิวิชั่นสุดโหดอย่าง “ตะวันออก” กรุยทางเข้าสู่โพสต์ซีซั่นได้ถึง 6 จาก 8 ฤดูกาล ดังนั้นหาก แอนดี รีด ไม่สามารถเข็นทีมเข้าเพลย์ออฟเป็นปีที่สองติดต่อกัน ความกดดันจากแฟนๆ คงถลาโถม หัวหน้าโค้ชหน้าวัย 50 ปีมีโอกาสงานเข้าในช่วงต้นปีหน้า
นั่นเป็นเหตุผลให้ หรีด จิตตกหรือไม่อย่างใด จึงทำการหักดิบถอด โดโนแวน แม็คแนบบ์ ควอเตอร์แบ็กตัวจริงออกมานั่งหน้าจ๋อยอยู่ข้างสนาม พร้อมกับให้โอกาส เควิน โคล์บ ลงไปนำทีมแทนตอนเปิดควอเตอร์ที่สาม แต่จอมทัพอ่อนประสบการณ์เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของ อีเกิลส์ ไม่ได้ปราชัย บัลติมอร์ เรฟเวนส์ แบบน่าได้ลุ้นแต่สุดท้ายราบคาบ 7-36
ในเกมดังกล่าวแม้ แม็คแนบบ์ ขว้างเข้าเป้าแค่ 8 จากโอกาสสะบัดแขน 18 ครั้ง ได้ระยะเพียง 59 หลา แถมเสียไป 2 อินเทอร์เซปต์ พลาดทำบอลหลุดมือเป็นฟัมเบิ้ลอีกหนึ่งหน แต่การที่ “อินทรีมรกต” ตามหลัง เรฟเวนส์ แค่ 7-10 ช่วงเดินเข้าห้องแต่งตัว รีด น่าจะมีการแก้เกมปลุกหัวจิตหัวใจของทีมกลับมาได้ไม่มากก็น้อย แต่เฮดโค้ชหน้าติดหนวดกลับเลือกวิธีให้ โคล์บ ซึ่งนับตั้งแต่ถูกดราฟท์เข้าทีมเมื่อปีก่อน มีโอกาสขว้างบอลแค่ 9 หนลงนำทีมเสียอย่างนั้น
ผลที่ปรากฏคือ โคล์บ ปาเข้าอกเพื่อนเพียง 10 จากโอกาสเหวี่ยงแขน 23 ครั้ง ได้ระยะ 73 หลา เสียไปอีก 2 อินเทอร์เซปต์ หนึ่งในนั้นโดน เอ็ด รีด โฉบวิ่งย้อนทัชดาวน์ ไกลที่สุดในประวัติศาสตร์ NFL 108 หลา จึงมีคำถามตามมามากมายให้ รีด ต้องออกมาเปิดปากกับสื่อ
ที่จริงแล้วค่อนข้างน่าเห็นใจ รีด เนื่องจากผลงานระยะหลังของ แม็คแนบบ์ ไม่เอาถ่านเกมบุกเสมอ “เสือลายพาดกลอน” ซินซินเนติ เบงกอลส์ 13-13 เมื่อสัปดาห์ก่อน จอมทัพวัย 32 ปีก็ขว้างไปถึง 3 อินเทอร์เซปต์ เสียฟัมเบิ้ลสำคัญในช่วงต่อเวลา อีกทั้งตั้งแต่ปี 2004 แม็คแนบบ์ พาทีมชนะได้แค่ 22 แพ้ 21 เสมอ 1 เกม ทำให้เราเข้าใจได้ว่า รีด กำลังคิดอะไรสักอย่าง
แต่การตัดสินใจที่เกิดขึ้นในเกมกับ เรฟเวนส์ ส่งผลเสียกับทุกฝ่ายในองค์กร บั่นทอนกำลังใจของ โคล์บ ว่าที่จอมทัพของเฟรนไชส์ในอนาคต ส่วน แม็คแนบบ์ ไม่ต้องพูดถึง ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโค้ชเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ขาดสะบั้นลง แม้ภายหลัง รีด ออกมาแก้ต่างกับนักข่าวทำนองว่า “เราอาจต้องถอยหลังมาก้าวหนึ่ง เพื่อก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป” พร้อมกับยืนยันหนักแน่นว่า แม็คแนบบ์ ยังเป็นจอมทัพหมายเลข 1 และจะนำทีมเปิดรังชน อริโซนา คาร์ดินัลส์ ในคืนวันพฤหัสบดีนี้ตามวัน-เวลาท้องถิ่นแน่นอน ทว่าใครจะรู้ใจ แม็คแนบบ์ ว่าพร้อมทุ่มเทให้กับหัวหน้าคนนี้ทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์หรือไม่ ในเมื่อโค้ชออกอาการไม่ไว้วางใจเขาก่อน
ในวงการลูกหนังเคยได้ยินคำกล่าวอ้างแบบนี้หรือไม่ที่ว่า “เล่นไล่โค้ช” ทันทีที่ ฮวนเด รามอส อำลาถิ่นไวท์ ฮาร์ท เลน ดูเหมือนอะไรๆ ในสโมสร ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ดูดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา หลังจากนั้นไม่นานเพิ่งได้รู้จากคำให้สัมภาษณ์ของ ดาร์เรน เบนท์ ประมาณว่า รามอส ไม่เคยใส่ใจนักเตะที่เขาไม่ต้องการ ผลักไสไล่ส่งไปเล่นในทีมสำรอง เมื่อเป็นเช่นนั้นคิดว่าเมื่อมีโอกาสผู้เล่นหลายคนอาจรวมพลังกันตลบหลังกุนซือเผด็จการชาวสเปนคนนี้ก็เป็นได้
ย้อนกลับมาดูกรณีของ รีด กับ แม็คแนบบ์ น่าสนใจไม่แพ้กัน แม็คแนบบ์ เหลือสัญญากับ อีเกิลส์ ถึงปี 2013 ฤดูกาลหน้ามีคิวรับค่าจ้าง 9.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 320 ล้านบาท) ไม่มีทางที่ทีมจะเก็บสำรองค่าเหนื่อยแพงขนาดนี้เอาไว้ ขณะที่เก้าอี้ร้อนๆ ของ รีด ก็มีรายชื่อเฮดโค้ชฝีมือดีอย่าง บิลล์ คาวเออร์ เข้ามาจ่อแล้ว จบฤดูกาลเป็นหน้าที่ของ เจฟฟ์ ลูรี เจ้าของทีม และ โจ แบนเนอร์ ผู้จัดการทั่วไปว่าพวกเขามีความคิดเห็นกันเช่นไร
อันที่จริงสถิติชนะ 5 เสมอ 1 แพ้ 5 ยังไม่ถึงขนาดที่ว่า ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ โบกมือลาโอกาสเข้าเพลย์ออฟของศึกอเมริกัน ฟุตบอล เอ็นเอฟแอล (NFL) ฤดูกาล 2008/09 เสียทีเดียว เนื่องจากมีโอกาสกระชากตั๋วไวลด์การ์ดมาจาก ดัลลัส คาวบอยส์ และ วอชิงตัน เรดสกินส์ แต่การไม่ชนะใครเลยในสามเกมหลังสุดทำให้ “อินทรีมรกต” ต้องคิดการใดการหนึ่งแล้ว
นับตั้งแต่เปลี่ยนสหัสวรรษใหม่ ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ ถือเป็นหนึ่งในยอดทีมของฝั่งเอ็นเอฟซี (NFC) เป็นทีมระดับหัวแถวของดิวิชั่นสุดโหดอย่าง “ตะวันออก” กรุยทางเข้าสู่โพสต์ซีซั่นได้ถึง 6 จาก 8 ฤดูกาล ดังนั้นหาก แอนดี รีด ไม่สามารถเข็นทีมเข้าเพลย์ออฟเป็นปีที่สองติดต่อกัน ความกดดันจากแฟนๆ คงถลาโถม หัวหน้าโค้ชหน้าวัย 50 ปีมีโอกาสงานเข้าในช่วงต้นปีหน้า
นั่นเป็นเหตุผลให้ หรีด จิตตกหรือไม่อย่างใด จึงทำการหักดิบถอด โดโนแวน แม็คแนบบ์ ควอเตอร์แบ็กตัวจริงออกมานั่งหน้าจ๋อยอยู่ข้างสนาม พร้อมกับให้โอกาส เควิน โคล์บ ลงไปนำทีมแทนตอนเปิดควอเตอร์ที่สาม แต่จอมทัพอ่อนประสบการณ์เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของ อีเกิลส์ ไม่ได้ปราชัย บัลติมอร์ เรฟเวนส์ แบบน่าได้ลุ้นแต่สุดท้ายราบคาบ 7-36
ในเกมดังกล่าวแม้ แม็คแนบบ์ ขว้างเข้าเป้าแค่ 8 จากโอกาสสะบัดแขน 18 ครั้ง ได้ระยะเพียง 59 หลา แถมเสียไป 2 อินเทอร์เซปต์ พลาดทำบอลหลุดมือเป็นฟัมเบิ้ลอีกหนึ่งหน แต่การที่ “อินทรีมรกต” ตามหลัง เรฟเวนส์ แค่ 7-10 ช่วงเดินเข้าห้องแต่งตัว รีด น่าจะมีการแก้เกมปลุกหัวจิตหัวใจของทีมกลับมาได้ไม่มากก็น้อย แต่เฮดโค้ชหน้าติดหนวดกลับเลือกวิธีให้ โคล์บ ซึ่งนับตั้งแต่ถูกดราฟท์เข้าทีมเมื่อปีก่อน มีโอกาสขว้างบอลแค่ 9 หนลงนำทีมเสียอย่างนั้น
ผลที่ปรากฏคือ โคล์บ ปาเข้าอกเพื่อนเพียง 10 จากโอกาสเหวี่ยงแขน 23 ครั้ง ได้ระยะ 73 หลา เสียไปอีก 2 อินเทอร์เซปต์ หนึ่งในนั้นโดน เอ็ด รีด โฉบวิ่งย้อนทัชดาวน์ ไกลที่สุดในประวัติศาสตร์ NFL 108 หลา จึงมีคำถามตามมามากมายให้ รีด ต้องออกมาเปิดปากกับสื่อ
ที่จริงแล้วค่อนข้างน่าเห็นใจ รีด เนื่องจากผลงานระยะหลังของ แม็คแนบบ์ ไม่เอาถ่านเกมบุกเสมอ “เสือลายพาดกลอน” ซินซินเนติ เบงกอลส์ 13-13 เมื่อสัปดาห์ก่อน จอมทัพวัย 32 ปีก็ขว้างไปถึง 3 อินเทอร์เซปต์ เสียฟัมเบิ้ลสำคัญในช่วงต่อเวลา อีกทั้งตั้งแต่ปี 2004 แม็คแนบบ์ พาทีมชนะได้แค่ 22 แพ้ 21 เสมอ 1 เกม ทำให้เราเข้าใจได้ว่า รีด กำลังคิดอะไรสักอย่าง
แต่การตัดสินใจที่เกิดขึ้นในเกมกับ เรฟเวนส์ ส่งผลเสียกับทุกฝ่ายในองค์กร บั่นทอนกำลังใจของ โคล์บ ว่าที่จอมทัพของเฟรนไชส์ในอนาคต ส่วน แม็คแนบบ์ ไม่ต้องพูดถึง ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโค้ชเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ขาดสะบั้นลง แม้ภายหลัง รีด ออกมาแก้ต่างกับนักข่าวทำนองว่า “เราอาจต้องถอยหลังมาก้าวหนึ่ง เพื่อก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป” พร้อมกับยืนยันหนักแน่นว่า แม็คแนบบ์ ยังเป็นจอมทัพหมายเลข 1 และจะนำทีมเปิดรังชน อริโซนา คาร์ดินัลส์ ในคืนวันพฤหัสบดีนี้ตามวัน-เวลาท้องถิ่นแน่นอน ทว่าใครจะรู้ใจ แม็คแนบบ์ ว่าพร้อมทุ่มเทให้กับหัวหน้าคนนี้ทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์หรือไม่ ในเมื่อโค้ชออกอาการไม่ไว้วางใจเขาก่อน
ในวงการลูกหนังเคยได้ยินคำกล่าวอ้างแบบนี้หรือไม่ที่ว่า “เล่นไล่โค้ช” ทันทีที่ ฮวนเด รามอส อำลาถิ่นไวท์ ฮาร์ท เลน ดูเหมือนอะไรๆ ในสโมสร ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ดูดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา หลังจากนั้นไม่นานเพิ่งได้รู้จากคำให้สัมภาษณ์ของ ดาร์เรน เบนท์ ประมาณว่า รามอส ไม่เคยใส่ใจนักเตะที่เขาไม่ต้องการ ผลักไสไล่ส่งไปเล่นในทีมสำรอง เมื่อเป็นเช่นนั้นคิดว่าเมื่อมีโอกาสผู้เล่นหลายคนอาจรวมพลังกันตลบหลังกุนซือเผด็จการชาวสเปนคนนี้ก็เป็นได้
ย้อนกลับมาดูกรณีของ รีด กับ แม็คแนบบ์ น่าสนใจไม่แพ้กัน แม็คแนบบ์ เหลือสัญญากับ อีเกิลส์ ถึงปี 2013 ฤดูกาลหน้ามีคิวรับค่าจ้าง 9.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 320 ล้านบาท) ไม่มีทางที่ทีมจะเก็บสำรองค่าเหนื่อยแพงขนาดนี้เอาไว้ ขณะที่เก้าอี้ร้อนๆ ของ รีด ก็มีรายชื่อเฮดโค้ชฝีมือดีอย่าง บิลล์ คาวเออร์ เข้ามาจ่อแล้ว จบฤดูกาลเป็นหน้าที่ของ เจฟฟ์ ลูรี เจ้าของทีม และ โจ แบนเนอร์ ผู้จัดการทั่วไปว่าพวกเขามีความคิดเห็นกันเช่นไร