ยามใดก็ตามที่ “ควอเตอร์แบ็กตัวจริง” ได้รับบาดเจ็บ (หนัก) ดัชนีความหวังไปสู่ ซูเปอร์โบว์ล ของทีมใดก็ตามในศึกอเมริกัน ฟุตบอล เอ็นเอฟแอล (NFL) ย่อมลดน้อยลงตามไปแต่ถ้าเฟรนไชส์เหล่านั้นมีกำลังเสริมอย่าง “จอมทัพสำรอง” ที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ ความหวังประเภทก๊อกสองก็ยังมีให้เห็น
เพียงแค่สัปดาห์แรกของซีซั่น 2008/09 มีควอเตอร์แบ็กตัวจริงบาดเจ็บถึง 4 รายอันได้แก่ เจฟฟ์ การ์เซีย จอมเก๋า แทมปาเบย์ บัคคาเนียร์ส (ข้อเท้า), โบรดี ครอยล์ ทิ้งโอกาสปักหลักเป็นตัวจริง แคนซัส ซิตี ชีฟส์ เพราะเจ็บไหล่, วินซ์ ยัง ผิดหวังกับเสียงโห่แฟนๆ เทนเนสซี ไตตันส์ ประกอบกับอาการเจ็บเข่ารบกวนจนมีข่าวลืออยากรีไทร์ แต่ที่น่าตกใจคงหนีไม่พ้นการเจ็บเอ็นเข่าซ้ายรุนแรงทำให้ ทอม เบรดี ซูเปอร์สตาร์ นิวอิงแลนด์ แพทริออตส์ ต้องปิดเทอมยาวทั้งฤดูกาล เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ถึงเวลาเหล่าควอเตอร์แบ็กสำรองได้ออกโรงกัน
สำรองดราฟท์รอบท้ายๆ แก้วิกฤติได้ ?
ความสำเร็จสูงสุดของ “นักรบกู้ชาติ” ตั้งแต่เปลี่ยนเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ ส่วนหนึ่งมาจากมันสมอง, ความเฉียบขาด และพลังแขนของ เบรดี ทว่าการที่จอมทัพวัย 31 ปี แสดงความอึดด้วยการลงสนามเป็นตัวจริงติดต่อกัน 128 เกม นานเป็นอันดับ 3 ของลีกรองจาก เบร็ตต์ ฟาร์ฟ และ เพย์ตัน แมนนิง กลับเหมือนดาบสองคม สื่อเมืองมะกันจึงตั้งคำถามว่า แพทริออตส์ ออกลูกประมาทหรือไม่ที่เมินลงทุนในตลาดฟรีเอเย่นต์ โดยเลือกที่จะดราฟท์ควอเตอร์แบ็กสำรองจากรอบท้ายๆ แทน
คล้ายกับกรณีของ อินเดียนาโปลิส โคลต์ส เลือก จิม ซอร์จี (ดราฟท์รอบ 6 ปี 2004) คอยแบ็กอัพ แมนนิงผู้พี่ หรือว่า กรีนเบย์ แพ็คเกอร์ส มีเพียง แมตต์ ฟลินน์ (รุคกี้ ดราฟท์รอบ 7) เป็นทางเลือกอื่นต่อจาก อารอน ร็อดเจอร์ส เพราะถ้าทีม “เกือกม้า” หรือ “หัวเนยแข็ง” เจอวิกฤตการณ์เดียวกันกับ “แพทส์แมน” ที่ต้องหันไปพึ่งพา แมตต์ คาสเซล อดีตดราฟท์รอบเจ็ด ซึ่งตลอดสามปีที่ผ่านมาลงสนามในฐานะสำรองแค่ 14 เกม ขว้างเข้าเป้าเพียง 22 ครั้ง แทบจะฟันธงได้ว่า โคลต์ส และ แพ็คเกอร์ส คงหลุดจากสารบบลุ้นแชมป์อย่างไม่เป็นทางการ
เก๋าประสบการณ์ช่วยสานต่อความสำเร็จ
ขณะที่บางทีมเลือกอดทนรอให้ควอเตอร์แบ็กสำรองจากการดราฟท์ ซึมซับระบบจากตัวจริงทั้งที่สนามซ้อมหรือขอบสนาม มีอีกหลายทีมซึ่งไม่ต้องการให้อุบัติเหตุระหว่างการแข่งขันมาทำลายฝัน ท็อดด์ คอลลินส์ ซึ่ง “ฟ็อกซ์สปอร์ต ดอท คอม” (FoxSport.com) ยกย่องให้เป็นจอมทัพสำรองที่ดีที่สุดของเอ็นเอฟแอล ณ เวลานี้ จึงยังมีงานทำพร้อมรับค่าจ้างตกปีละ 3 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 100 ล้านบาท) ดีไม่ดีแฟนๆ วอชิงตัน เรดสกินส์ อาจแช่งอยู่ในใจให้ เจสัน แคมป์เบลล์ บาดเจ็บ เพื่อเปิดทางให้ผู้เล่น 36 ปี ลงไปสร้างปาฏิหาริย์พาทีมเข้าเพลย์ออฟช่วงท้ายฤดูกาลเหมือนกับเมื่อปีก่อน
ปัจจุบันมีควอเตอร์แบ็กสำรองอายุเฉลี่ย 35 ปี ยังยืนหยัดได้ในเอ็นเอฟแอล หลายคนมีประสบการณ์ทำหน้าที่ในฐานะตัวจริงมาแล้วไม่ว่าจะเป็น แบรด จอห์นสัน (ดัลลัส คาวบอยส์), กัส เฟร์รอตต์ (มินเนโซตา ไวกิงส์), มาร์ค บรูเนลล์ (นิวออร์ลีนส์ เซ็นต์ส), เดมอน ฮวร์ด (ชีฟส์) หรือว่า เคอร์รี คอลลินส์ (ไตตันส์) นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม การ์เซีย จอมทัพ บัคคาร์เนียร์ส ไม่ต้องการให้อาการบาดเจ็บข้อเท้ามาตัดฟางเส้นสุดท้ายของอาชีพ เพราะถ้าขืน ไบรอัน กรีซี อดีตโพรโบว์ล เดนเวอร์ บรองโกส์ ฟอร์มเข้าตา จอห์น กรูเดน ขึ้นมามันจะยุ่ง
ดาวรุ่งที่รอวันเติบใหญ่ประดับวงการ
ในการดราฟท์แต่ละปี “ควอเตอร์แบ็ก” เป็นตำแหน่งที่ได้รับการจับตามองมากที่สุด ทว่าพวกถูกเลือกเข้าสู่ลีกรอบแรกหาใช่การันตีความสำเร็จไม่ แมตต์ ไลนาร์ท (อริโซนา คาร์ดินัลส์), เดวิด คาร์ (นิวยอร์ก ไจแอนท์ส) หรือว่า เร็กซ์ กรอสแมน (ชิคาโก แบร์ส) คือตัวอย่างความล้มเหลวจนต้องร่วงสู่บทบาทสำรอง อย่างไรก็ตาม ยังมีดาวรุ่งมือ 2 ที่พร้อมพิสูจน์ตัวเอง อาทิเช่น เบรดี ควินน์ (คลีฟแลนด์ บราวน์ส), เจ.พี. ลอสแมน (บัฟฟาโล บิลล์ส และ เควิน โคล์บ (ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์) แต่โอกาสของพวกเขาจะเปิดขึ้นก็ต่อเมื่อ ดีเร็ค แอนเดอร์สัน, เทรน เอ็ดเวิร์ส และ โดโนแวน แม็คแนบบ์ ได้รับบาดเจ็บหรือฟอร์มหล่นสุดขีด นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมการก่อเกิดของ “ซูเปอร์สตาร์” นอกจากฝีไม้ลายมือแล้วยังต้องอาศัยโชคเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย