"แลมพาร์ด" อย่าไปเลยอิตาลี

มีความเป็นไปได้สูงที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด จะปักหลักยังถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ต่อไปในฤดูกาลหน้า เพราะเวลานี้เหินฟ้าไปเก็บตัวช่วงปรีซีซันกับ เชลซี อยู่ในแถบเอเชียตะวันออก รวมถึง โฮเซ มูรินโญ ออกมายอมยกธงขาวคงไม่อาจดึงศิษย์เก่ามาร่วมรัง อินเตอร์ มิลาน ในซัมเมอร์นี้ ขอเอาไว้ลุ้นคว้าตัวปีหน้าตอนหมดสัญญาน่าจะง่ายกว่านี้

เชลซี ทราบดีว่า แลมพาร์ด เหลือสัญญาอีกแค่ปีเดียว ทำให้สามารถย้ายสังกัดได้แบบไม่มีค่าตัวในช่วงซัมเมอร์หน้า แต่ทีมของ โรมัน อบราโมวิช เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่ จึงตัดสินใจบอกปัดทุกข้อเสนอจาก อินเตอร์ เพราะมองว่าหากประวิงเวลาให้ผ่านช่วงนี้ไปได้ ก็มีเวลาอีกมากโขที่จะเกลี่ยกล่อมกองกลางจอมถล่มประตูให้สะบัดน้ำหนึกต่อสัญญาใหม่

แน่นอน อินเตอร์ ก็อ้างว่านักเตะต้องการมาร่วมงานกับ มูรินโญ อีกครั้ง ส่วน หลุยส์ เฟลิเป สโคลารี กุนซือ เชลซี ก็บอกว่าคุยกันเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วถึงระบบการเล่นในฤดูกาลหน้า แต่จริงๆ แล้วไม่มีใครรู้ใจ แลมพาร์ด และคงไม่มีทางรู้ เพราะกองกลางวัย 30 ปี มีความเป็นมืออาชีพและเคารพต้นสังกัดสูง ไม่ออกมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าสื่อมวลชนแน่

หากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2006 แลมพาร์ด มีข่าวอย่างหนาหูว่าจะย้ายไปเล่นให้กับ บาร์เซโลนา ด้วยเหตุผลทางครอบครัวล้วนๆ เพราะว่ามีภรรยาคือ อีเลน ลิเบส เป็นนางแบบแดนกระทิงดุ ต้องการที่จะให้ลูกๆ ของเธอเติบโตขึ้นโดยสามารถเรียนรู้ทั้งสองภาษาและสองวัฒนธรรมคือ อังกฤษ และก็ สเปน แต่จนแล้วจนรอดการย้ายทีมก็ไม่เกิดขึ้น

แลมพาร์ด ย้ายมาอยู่กับ เชลซี เมื่อปี 2001 แต่มาประสบความสำเร็จแบบสุดๆ ในยุคของ มูรินโญ กลายเป็นกองกลางจอมถล่มประตู แถมช่วยกันกวาดมาแล้วทุกแชมป์ขาดแค่ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ใบเดียวเท่านั้น ทำให้อยากจะกลับไปร่วมงานกับกุนซือฝีปากกล้าชาวโปรตุเกส อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากมีความศรัทธาอยู่เต็มเปี่ยมเพราะเป็นคนปลุกปั้นขึ้นมา

แต่ไม่มีลีกไหนในโลกหรอกที่จะเป็นเหมือนขนมหวานสำหรับกุนซือและนักเตะ ขนาด มูรินโญ ยังยอมรับเลยว่าเครียดไม่น้อยหาก อินเตอร์ วืดแชมป์ เพราะ กัลโช เซเรีย อา อิตาลี มีสไตล์การเล่นเฉพาะตัวเน้นผลการแข่งขันมากกว่าเอ็นเตอร์เทนคนดูยิงประตูกันแบบไม่เลี้ยง นักเตะระดับโลกก็เคยเอาชื่อมาทิ้งไว้ ณ ดินแดนรองเท้าบู้ทแห่งนี้มากมาย

หนึ่งในนั้นมี เดนนิส เบิร์กแคมป์ ดาวยิงจอมคลาสสิกที่ย้ายจาก อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม มาอยู่ในรัง จูเซ็ปเป เมียซซา เมื่อปี 1993 แต่ปรับตัวเข้ากับลีกมะกะโรนีไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ 11 ประตูจาก 50 นัดเท่านั้นตลอดระยะเวลา 2 ปี ออกมาฝากข้อคิดถึง แลมพาร์ด ว่า "หากคุณเคยเล่นใน พรีเมียร์ ลีก ก็จะรู้ว่าไม่มีที่ไหนดีไปกว่าที่นั่นอีกแล้ว"

"ยากที่จะได้เห็นเกมการเล่นอันสวยงามใน อิตาลี โดยเฉพาะพวกผู้เล่นที่ชอบเกมรุกเป็นชีวิตจิตใจ ปัญหาก็คือคุณจะไม่สามารถเล่นเกมของคุณได้เลย ขณะที่แฟนบอลมีความสุขกับผลเสมอ บางครั้งพวกเขาหวังผลเสมอพอๆ กับชนะเสียอีก แม้ผมจะห่วงผลการแข่งขัน แต่ยอดนักเตะก็จำเป็นต้องใส่ใจกับแนวทางการเล่นด้วย" อดีตกองหน้า อาร์เซนอล เผย

ในอดีตที่ผ่านมานักเตะ อังกฤษ ที่ไปประสบความสำเร็จต่างแดน โดยเฉพาะใน เซเรีย อา นั้นหาได้ยากยิ่ง โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็น เดวิด แพล็ทท์ มิดฟิลด์ที่ไปคว้าแชมป์ทั้งกับ ยูเวนตุส และ ซามพ์โดเรีย ส่วนพวกที่พอจะเอาตัวรอดลืมตาอ้าปากได้บ้างก็มีอย่าง พอล แกสคอยน์ และ พอล อินซ์ แต่ที่ล้มเหลวก็มีมากทั้ง เดส วอล์คเกอร์ และ เรย์ วิลกินส์

เอียน ไรท์ อดีตกองหน้าของ อาร์เซนอล ที่ผันตัวเองมาเป็นคอลัมนิสต์ของสำนักข่าว "เดอะ ซัน" ก็เคยวิจารณ์ว่าสไตล์ของ แลมพาร์ด ไม่เหมาะกับใน อิตาลี ที่เกมค่อนข้างช้าทำให้จะมีนักเตะปักหลักอยู่แน่นไปหมด จึงทำให้ในสนามมีพื้นที่เล่นน้อยกว่าใน อังกฤษ จึงเป็นเหตุผลที่สกอร์แทบจะไม่ค่อยออกมาเสมอกันถล่มถลายแบบใน พรีเมียร์ชิป

แลมพาร์ด ไม่ใช่นักเตะที่ผ่านบอลในจังหวะทีเด็ดทีขาดแบบมากมาย แต่เป็นพวกหาจังหวะเปลี่ยนเกมจากรับเป็นรุกได้ดี คุณค่าของเขาตลอดการเล่นในสีเสื้อของ เชลซี จึงพิสูจน์ให้เห็นจากจำนวนประตูที่ยิงได้ เพราะเคยยิงให้กับ เชลซี ในฤดูกาลเดียวถึง 20 ลูก แต่พอปืนฝืดยิงไม่ได้ยามลงรับใช้ทีมชาติอังกฤษ ก็ถูกวิจารณ์ยับเยินว่าใช้โอกาสเปลือง

หาก แลมพาร์ด ตัดเหตุผลทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวและความสัมพันธ์ส่วนตัวกับ มูรินโญ ออกไป มามองในเรื่องของฟุตบอลล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือตอนไหน ซัมเมอร์นี้หรือว่าปีหน้า กัลโช เซเรีย อา อิตาลี ก็ไม่ใช่ที่ๆ น่าพิสมัยเลยสำหรับนักเตะอังกฤษ เพราะมีอันต้องซมซานกลับบ้านเกิดทุกรายไป ตัวอย่างก็มีให้เห็นมานักต่อนักแล้ว