ปิดตำนาน "ซิลเวอร์สโตน" จุดจบ "บริติชกรังด์ปรีซ์"?

ไม่บ่อยครั้งนักที่นักแข่งชาวอังกฤษ จะผงาดขึ้นมาคว้าแชมป์รถสูตรหนึ่งในบ้านเกิดของตัวเองได้สำเร็จ แต่จากชัยชนะของ ลูอิส แฮมิลตัน ที่สนามซิลเวอร์สโตน เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา อาจทำให้นักซิ่งแม็คลาเรนกลายเป็นอิงลิชแมนคนสุดท้ายที่คว้าแชมป์ได้ในสนามบ้านเกิด เพราะหลังจากจบการแข่งขันรายการนี้ในปี 2009 ไม่แน่ว่า "ศึกบริติชกรังด์ปรีซ์" จะคงอยู่บนดินแดนผู้ดีต่อไปอีกหรือไม่

ย้อนไปในช่วงปิดฤดูกาล 2007 เบอร์นีย์ เอคเคิลสโตน เจ้าของสิทธิประโยชน์แห่งวงการรถสูตรหนึ่ง ออกโรงกระตุ้นรัฐบาลอังกฤษให้รีบปรับปรุงสนามซิลเวอร์สโตนโดยด่วน หากไม่อยากให้หลุดจากปฏิทินการแข่งขัน โดยผู้จัดร่างเล็กให้เหตุผลว่า สนามแห่งนี้ไม่ได้รับการเหลียวแลจากทางการ โดยเฉพาะเรื่องความเสื่อมโทรมและความปลอดภัยของผู้ชมในสนาม รวมถึงกำลังจะหมดสัญญาลงหลังปี 2009

ทำให้ 4 เดือนถัดมา สมาคมนักแข่งรถแห่งสหราชอาณาจักร หรือ บีอาร์ดีซี ที่มี ดามอน ฮิลล์ อดีตแชมป์โลกชาวอังกฤษเป็นหัวเรือใหญ่ ได้เผยแผนการปรับปรุงครั้งใหญ่ ด้วยการเนรมิตส่วนประกอบของสนามขึ้นมาใหม่ทั้งหมด อาทิ พิตเลน, แพ็ดด็อด, การาจ, ห้องควบคุมการแข่งขัน, ศูนย์สื่อมวลชน, ศูนย์พยาบาล และที่นั่งวีไอพี ซึ่งโปรเจคดังกล่าวต้องเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมของสภาท้องถิ่นเมืองนอร์ทแธมตัน เพื่อรอส่งเรื่องไปยังทางการอังกฤษต่อไป

กระทั่งหนึ่งสัปดาห์ก่อนการศึกรถสูตรหนึ่งรายการบริติชกรังด์ปรีซ์ 2008 จะเปิดฉากขึ้น สนามซิเวอร์สโตนกลับมาคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อแฟนกีฬาความเร็วชาวเมืองผู้ดีต่างแห่จองตั๋วเข้าชมการแข่งขันรายการนี้ชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จนบัตรผ่านประตูกว่า 240,000 ที่นั่ง ถูกขายจนหมดเกลี้ยง โดยพวกเขาหวังที่จะรวมตัวกันเพื่อให้กำลังใจ ลูอิส แฮมิลตัน นักขับที่ดีที่สุดของอังกฤษในเวลานี้ ให้คว้าแชมป์กรังด์ปรีซ์ในบ้านเกิดให้ได้ หลังจาก จอห์นนี เฮอร์เบิร์ต เป็นนักซิ่งผู้ดีคนล่าสุดที่คว้าแชมป์ได้ตั้งแต่ปี 1995

แต่ก่อนที่คนอังกฤษจะได้เฮกันขนานใหญ่ จากการที่ แฮมิลตัน คว้าแชมป์มาครองได้อย่างยอดเยี่ยม 2 วันก่อนหน้านั้นวงการมอเตอร์สปอร์ตผู้ดี ก็ต้องพบกับข่าวร้าย ปนกับข่าวดี ในเวลาเดียวกัน โดยข่าวร้ายก็คือ เจ้าของสิทธิประโยชน์ประกาศชัดเจนว่า ซิลเวอร์สโตนเซอร์กิต สังเวียนความเร็วเก่าเแก่ ที่รองรับศึกฟอร์มูลาวัน มากว่า 60 ปี จะใช้จัดศึกบริติชกรังด์ปรีซ์ในฤดูกาล 2009 เป็นครั้งสุดท้าย

ขณะเดียวกันยังพอมีข่าวดีอยู่บ้าง เมื่อเจ้าพ่อเอฟวันเผยว่า ได้ตกลงเซ็นสัญญากับสังเวียนความเร็วแห่งใหม่นาม โดนิงตัน ปาร์ค เอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะย้ายมาดวลความเร็วกันที่สนามแห่งนี้ตั้งแต่ฤดูกาล 2010 เป็นต้นไป นั่นหมายความว่ารถสูตรหนึ่งบนดินแดนผู้ดีจะคงดำเนินอยู่ต่อไป

"เราต้องการสนามที่อยู่ในมาตรฐานระดับโลกสำหรับศึกเอฟวัน ซึ่งโดนิงตัน ปาร์ค มีการพัฒนาอยู่ในเกณฑ์ที่เราพอใจ มันเป็นทางเดียวที่ทำให้บริติชกรังด์ปรีซ์อยู่ในประเทศนี้ต่อไป"

อย่างไรก็ดี 2 วันให้หลัง เอคเคิลสโตน ที่เป็นชาวอังกฤษแท้ๆ กลับพลิกลิ้นอย่างหน้าตาเฉย ด้วยการออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวในทำนองว่า อาจจะไม่มีศึกบริติช กรังปรีซ์ บนแผ่นดินเกิดของตนอีกต่อไป "เราจะไม่กลับไปที่ซิลเวอร์สโตน ผมมั่นใจว่า โดนิงตัน น่าจะพร้อม แต่ถ้าไม่ เราก็คงต้องเซ็นสัญญากับสนามในประเทศอื่น และบริติช กรังปรีซ์ก็จะไม่มีอีกต่อไป"

โดยสาเหตุหลักที่โดนิงตัน พาร์ค ยังไม่แน่ว่าจะได้เป็นเจ้าภาพจัดบริติชจีพีต่อไปหรือไม่ ก็เนื่องมาจากการที่ ไซมอน ยิลเลตต์ ซีอีโอประจำสนามออกมายอมรับว่า สังเวียนความเร็วที่ใช้รองรับศึกโมโตจีพี มาตั้งแต่ปี 1987 แห่งนี้จำต้องใช้วิธีระดมทุนด้วยเงินกว่า 100 ล้านปอนด์ (ราว 6,500 ล้านบาท) เช่นเดียวกับการสร้างสนามเวมบลีย์ เนื่องจากยังไม่สามารถหาเงินก้อนโตมาปรับปรุงสนามได้ในเวลานี้

เรื่องดังกล่าว เซอร์ แฟรงค์ วิลเลียมส์ เจ้าของทีมวิลเลียมส์ ผู้คร่ำหวอดในวงการรถแข่ง ออกมาตั้งข้อสังเกตถึงการที่ซิลเวอร์สโตนถูกถอดจากปฏิทินรถสูตรหนึ่งว่า "ผมมั่นใจว่าโดนิงตันจะจัดเอฟวันได้ พวกเขามีเวลาถึง 2 ปี ที่จะปรับปรุงสนาม แต่ผมคิดว่ามันเป็นทางออกที่ต้องใช้งบประมาณสูงเกินความจำเป็น ผมไม่รู้ว่าลึกๆ แล้วซิลเวอร์สโตนมีปัญหาอะไร แต่เงินที่เอามาลงตรงนี้มันมากกว่าแผนการปรับปรุงซิลเวอร์สโตนเสียอีก มันไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องในการรักษาบริติชกรังด์ปรีซ์เอาไว้เลย"

จากนี้เหลือเวลาอีก 2 ปีที่ฝ่ายจัดการแข่งขันของโดนิงตัน ปาร์ค รวมถึง ชายที่ชื่อ เบอร์นีย์ เอคเคิลสโตน จะเป็นผู้ให้คำตอบว่า "บริติชกรังด์ปรีซ์" จะคงอยู่บนดินแดนผู้ดีต่อไปหรือไม่ ซึ่งหากไม่ คงเป็นเรื่องที่น่าสลดใจไม่น้อย สำหรับขวัญใจชาวอังกฤษอย่าง ลูอิส แฮมิลตัน ที่จะไม่ได้แข่งขันในสนามบ้านเกิดของตนเองอีกต่อไป