ชีวิตเลือกได้คุณจะให้มันเป็นแบบไหน หรือทำอะไร? แต่สำหรับ “แชมป์” วิทวัส ชินบารมี หนุ่มวัย 27 ปี ที่ต้องแบกภาระความรับผิดชอบกับงานกงสีของครอบครัว มันไม่เกี่ยวกับเลือกได้-ไม่ได้ หรือต้องทำเพราะสืบทอดกิจการ แต่ที่ทำเพราะเขารักมัน!
ปัจจุบัน “แชมป์” นั่งแท่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิชคาร์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย ลัมบอร์กินี โลตัส ฮัมเมอร์ แอสตันมาร์ติน โดยเข้ามาดูแลกิจการแทน เสรี รักษ์วิทย์ ผู้เป็นพ่อเต็มตัว และทำทุกอย่าง ตั้งแต่เลือกโปรดักส์ การตลาด การขาย ไปจนถึงการบริการ
“ผมเข้ามารับงานแทนคุณพ่ออย่างเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยดูแลการบริหารจัดการเกือบทั้งหมด ยกเว้นเรื่องการเงิน ส่วนรถที่จะนำเข้ามาทำตลาดก็เป็นคนเลือก และเจรจาโควต้ากับบริษัทแม่เองทั้งหมด ด้านการขายก็เข้าหาลูกค้าโดยตรงเลย อย่างแบรนด์ ลัมบอร์กินี ผมจะรู้จักลูกค้าทุกคน เรียกว่ามีเรื่องอะไรโทรหาได้ตลอด”
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยากสุดในการทำงานคิดว่า เป็นเรื่องการบริการ เพราะปัญหามีให้แก้รายวัน ยิ่งลูกค้าซื้อรถราคาเป็นล้านย่อมคาดหวังบริการมีระดับ ซึ่งผมเชื่อมั่นในความพร้อมทั้ง ศูนย์บริการ เครื่องมือ บุคลากรรองรับ อย่างทีมช่างผมส่งไปศึกษาดูงานที่บริษัทแม่ตลอด เพื่อเกิดความเชี่ยวชาญ ถ้าลูกค้าถามอะไรต้องตอบได้ สำหรับเป้าหมายในอนาคต อยากเพิ่มแบรนด์รถยนต์ที่นำเข้ามาขาย พร้อมสร้างรากฐานให้แข็งแกร่ง พยายามให้นิชคาร์ เป็นผู้จัดจำหน่ายรถระดับซูเปอร์คาร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
คติของผมคือ “ทำในสิ่งที่ชอบ” ผมไม่เคยทำอะไรที่ไม่ชอบ และถ้ามีโอกาสต้องมุ่งมั่น และทำให้ออกมาดีที่สุด อย่างการบริหารนิชคาร์ซึ่งป็นธุรกิจเกี่ยวกับรถ ยิ่งไม่มีปัญหาเลยเพราะส่วนตัวเป็นคนบ้ารถมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว
นั่นเป็นเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบด้านการงาน ส่วนการใช้ชีวิตนอกสนาม แชมป์เป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ด้วยที่บ้านทำกิจการรถยนต์ เห็นและผูกผันมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่แปลกที่ “แชมป์” จะเป็นพวกบ้ารถเข้าขั้น อย่างทุกวันนี้มีรถใช้เป็นพาหนะระดับเทพทั้ง ลัมบอร์กินี มูซิเอลลาโก้ โลตัส เอ็กซ์ซีจ เอส ฮัมเมอร์ เอช3 และโฟล์คสวาเกน บีทเทิ่ล เปิดประทุน เป็นต้น
แชมป์เล่าประสบการณ์ขำขำของตนเองว่า หลังจบการศึกษาระดับมัธยมที่สิงคโปร์ ก็กลับมาเรียนต่อเมืองไทยที่มหาวิทยาลัยอัชสัมชัญ (ABAC) แต่ตอนนั้นน้ำหนักตัวมากถึง 100 กิโลกรัม ที่สำคัญได้รถสปอร์ตอย่างโลตัส เอสปรีต์ มาใช้ ทำให้คิดว่า รถกับคนมันต้องไปด้วยกันถึงจะเหมาะสม จึงเริ่มลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกาย กินผักผลไม้เยอะๆ สรุป 2-3 ปีผ่านไปลดได้ถึง 30 กิโลกรัม ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นตั้งใจทำเพื่อรถสุดรัก
ตอนนี้ “แชมป์” แบ่งเวลาว่างจากหน้าที่การงานมาแข่งรถรายการมินิเซอร์กิต ทุกวันเสาร์สิ้นเดือน ที่ สนาม BRC หลังซีคอนสแควร์ ซึ่งเจ้าตัวก็ทำได้ดีเสียด้วย เมื่อควบมิตซูบิชิ โคลต์ คว้าแชมป์ประเภทหน้าใหม่ (rooky) ตั้งแต่ครั้งแรกที่ลงแข่ง และเป้าหมายต่อไปคือประเภทโอเพ่น ที่สามารถปรับแต่งรถได้อิสระมากขึ้น แน่นอนว่าต้องใช้ทักษะเพิ่ม ที่สำคัญคู่แข่งฝีมืออยู่ในระดับพระการทั้งนั้น
“การขับรถผมว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะจะขับหรือปรับเรื่องทางเทคนิคอย่างไร มันเป็นเหตุเป็นผลหมด อย่างการนำรถเข้าแข่งขันผมไม่มีทีมงาน ซึ่งจริง ๆ ถ้ามีก็ได้ความเร็ว สะดวกสบายแต่ใจผมอยากเรียนรู้ดูแลเอง ขอคำแนะนำจากเพื่อน ๆ พี่ ๆ บ้าง สนุกกว่ากันเยอะ นั่นเพราะผมไม่ได้วางเป้าหมายจะเป็นแชมป์หรือเข้าที่หนึ่ง แต่เป็นการเอามันเอาสนุก เป็นงานอดิเรกมากกว่า”
การขับรถแข่งในสนามปลอดภัยกว่าจะไปซิ่งบนท้องถนนเยอะ ทั้งนี้อยากฝากให้วัยรุ่นที่ชอบแข่งกันบนถนนเข้ามาเล่นในสนามดีกว่า เพราะถ้าแข่งข้างนอกเกิดอุบัติเหตุไปมันไม่คุ้ม อย่างตัวเองถึงแม้จะชอบแข่งรถ แต่ยังห่วงงานที่ นิชคาร์ เช่นกัน ที่สำคัญเวลาสำหรับการแข่งรถมีไม่มาก ดังนั้นต้องเลือกดูเป็นรายการายการไป
“ผมเจ็บตัวไม่ได้ ไม่อย่างนั้นงานผมจะเสีย ดังนั้นการแข่งคงต้องเลือกแบบมินิเซอกิต ที่ใช้ความเร็วไม่สูง อย่างเก่งก็อยู่ประมาณ 120-140 กม./ชม. ที่สำคัญความสนุกแทบไม่ต่างจากการแข่งขันรายการใหญ่ๆ แต่ผมวางเป้าหมายว่าอนาคตสัก 4-5 ปีต่อจากนี้ ถ้างานที่นิชคาร์นิ่งๆ มั่นคงแล้ว คงหาโอกาสฝึกฝนเพิ่มเติม และอาจจะไปเรียนคอร์สสั้น ๆ ที่สนาม ซิลเวอร์สโตน ประเทศอังกฤษ เพราะใจอยากพัฒนาฝีมือก้าวขึ้นไปแข่งระดับเอเชีย”
สำหรับวงการมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทย มันขยายตัวอยากเพราะข้อจำกัดเรื่องสนามแข่ง หรือบางสนามยังไม่มีความปลอดภัยเพียงพอ ส่วนเรื่องกติกาการแข่งขันอยากให้มีความเป็นมืออาชีพมากกว่านี้ถ้าหวังจะก้าวหน้า ส่วนตัวผมถ้าพร้อมมีเวลามากพอก็อยากลุยระดับนานาชาติไปเลย
ทั้งหมดเป็นเส้นทางของ “แชมป์” วิทวัส ชินบารมี ที่มุ่งมั่นตั้งใจทำใน 2 สิ่งที่ตนรักทั้งการบริหารกิจการนิชคาร์ และความฝันบนถนนนักแข่ง...แต่อีกสิ่งที่หนุ่มวัย 27 อยากทำมาก แต่ยังไม่มีโอกาสคือ การควบกระทิงเปลี่ยว “เรวันตัน” ซูเปอร์คาร์ที่ขึ้นชื่อว่าสวยและแพงที่สุดในโลก (1 ล้านยูโร) ซึ่งข้อนี้ถ้าไม่ได้ทำเสียชื่อแย่เลย