ในที่สุด คาร์ลอส เคยรอซ ก็ตัดสินใจอำลา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นคำรบที่สอง เพื่อไปรับภาระหนักอึ้งระดับประเทศกุมบังเหียนทีมชาติโปรตุเกส ครั้งแรกที่จากถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด คือเมื่อปี 2003 ไปคุมยักษ์ใหญ่ของ สเปน อย่าง รีล มาดริด แต่ก็ล้มคลุกฝุ่นไม่เป็นท่า ทำให้น่าสนใจว่าหนนี้บทสรุปของเขาจะลงเอยแบบไหน
ใครบ้างไม่อยากคุม รีล มาดริด ที่เมื่อ 5 ปีก่อนอัดแน่นไปด้วยนักเตะคุณภาพอย่าง ซีเนอดีน ซีดาน, หลุยส์ ฟิโก และ โรนัลโด แม้จะซมซานกลับมาแต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็อ้าแขนรับ เคยรอซ ให้สวมบทมือขวาอีกครั้ง มาคราวนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจที่ปฎิเสธไม่ลงกับการทำงานโดยสวมเสื้อที่มีสัญลักษณ์ทีมชาติของแผ่นดินเกิดอยู่บนอกเสื้อ
แม้จะเคยพา โปรตุเกส ชุดต่ำกว่า 20 ปี คว้าแชมป์เยาวชนโลกมาแล้วในปี 1989 และ 1991 แต่ผลงานของ เคยรอซ หลังจากนั้นก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอันไม่ว่าจะกับ สปอร์ติง ลิสบอน, เรด บูลล์ นิว ยอร์ค, นาโกยา แกรมปัส เอจ, สหรัฐ อาหรับ เอมิเรตส์ และ แอฟริกาใต้ เพราะความสำคัญและความกดดันมันต่างกันหลายเท่าตัวนัก
เพราะบางที เคยรอซ อาจจะเหมาะกับงานในเรื่องของโค้ชมากกว่า เช่นการนำนักเตะซ้อม ไม่ใช่ขึ้นมาคุมเอง แต่การตัดสินใจเซ็นสัญญา 4 ปี คุมทัพ โปรตุเกส ในครั้งนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาต้องการพิสูจน์ว่าเป็นเบอร์ 1 ได้เหมือนกัน อยากจะฝืนวาสนาลองดูสักตั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็มีตัวอย่างมาหลายรายแล้วกับการผันตัวเองจากผู้ช่วยมาเป็นกุนซือ
ตัวอย่างเช่น สตีฟ แม็คคลาเรน คนนี้ก็เคยเป็นมือขวาของ เฟอร์กี ในยุค แมนฯยู ที่ยิ่งใหญ่มากอย่าง ทริปเปิลแชมป์ ในปี 1999 ก่อนจะถูกจีบไปคุมทัพ มิดเดิลสโบรช์ ในปี 2001 หัวหกก้นขวิดอยู่นานจนกระทั่งมาประสบความสำเร็จช่วงปลายที่อยู่ในถิ่น ริเวอร์ไซด์ สเตเดียม คว้าแชมป์ ลีก คัพ ในปี 2004 และรองแชมป์ ยูฟา คัพ ในปี 2006
หลังจากนั้น "บิ๊กแม็ค" ก็ก้าวกระโดดครั้งสำคัญพอๆ กับ เคยรอซ ด้วยการขึ้นคุมทีมชาติอังกฤษ แต่ว่าเป็นก้าวที่กว้างเกินไปในที่สุดก็สะดุดล้ม ถูกมองว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของ สมาคมฟุตบอลเมืองผู้ดี ที่เลือกชายผู้นี้ เนื่องจากว่า "สิงโตคำราม" ไม่ผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้าย ยูโร 2008 จนกระทั่งถูกปลด ปัจจุบันรับงานคุมทัพ ทเวนเต
ค่าย แมนฯยู ปั้นผู้ช่วยฝีมือเยี่ยมขึ้นมาประดับวงการมากมาย คนนี้ก็เช่นกัน ไบรอัน คิดด์ ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ปูรากฐานจนกระทั่งช่วยให้ "ผีแดง" กลายเป็นมหาอำนาจในยุค พรีเมียร์ชิป เข้ามาอยู่กับทีมในช่วงปี 1988 ซึ่งอดีตดาวยิงชุดแชมป์ยุโรปสมัยแรกช่วยคัดเพชรเม็ดงามมาประดับวงการมากมายทั้ง เดวิด เบ็คแฮม, พอล สโคลส์ และ ไรอัน กิ๊กส์
แต่ว่า คิดด์ ก็แสดงให้เป็นแล้วว่าไม่ใช่กุนซือที่ดีพอ หรืออาจจะใช้คำว่า "มือไม่ถึง" หรือ "บารมีไม่พอ" ก็น่าจะได้ เพราะว่าทิ้ง แมนฯยู ไปคุมทัพ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในปี 1998 ผลสรุปปิดฉากถิ่น อีวูด ปาร์ค แบบไม่สวยก็คือพาทีมตกชั้น สุดท้ายก็โดนไล่ออก เนื่องจากว่าผลงานในช่วงออกสตาร์ทสู้ศึก ดิวิชัน 1 ไม่สู้ดี
หลายคนคงยังไม่ลืมชื่อของ เรย์ ฮาร์ฟอร์ด มือขวาฝีมือเอกอุถือเป็นขงเบ้งคู่กายของ เคนนี ดัลกลิช กุนซือที่พา แบล็คเบิร์น แข่งบารมีกับ แมนฯยูไนเต็ด จนกระทั่งคว้าแชมป์ พรีเมียร์ชิป ได้สำเร็จในปี 1994 จากนั้นไม่นาน เดลกลิช ตัดสินใจวางมือ เขาก็ได้รับความไว้วางใจจากบอร์ดบริหารให้ขึ้นรับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่แทนทันที
อย่างไรก็ตามฤดูกาล 1995-96 ถือเป็นปีที่สุดแสนจะผิดหวังของ ฮาร์ฟอร์ด เพราะว่า แบล็คเบิร์น โดนปัญหารุมเร้ามากมายทั้งนักเตะบาดเจ็บ, ผู้เล่นคนสำคัญๆ ฟอร์มตก แต่ก็ดิ้นรนจนจบด้วยอันดับ 7 ของฤดูกาล แถมช่วงซัมเมอร์ต้องเสีย อลัน เชียเรอร์ ให้กับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เปิดฉากฤดูกาลใหม่ 1996-97 จึงพังไม่เป็นท่า และโดนไล่ออกในที่สุด
สุดท้ายคนนี้น่าจะเป็นตัวอย่างชั้นดีของ เคยรอซ เพราะว่าเกิดขึ้นเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมานี้เอง แซมมี ลี อดีตกองกลางร่างเล็ก หลังแขวนสตั๊ดก็เบนเข็มเป็นโค้ชให้กับ ลิเวอร์พูล ในปี 1993 จากนั้นก็ไปช่วยทีมชาติอังกฤษ ในยุค สเวน โกรัน อริคส์สัน เมื่อปี 2001 และถูกจีบมาช่วย โบลตัน วันเดอเรอร์ส ในยุคของ แซม อัลลาไดซ์ เมื่อปี 2006
โบลตัน กับ อัลลาไดซ์ โดยมี ลี คอยผลักดันอยู่เบื้องหลัง แม้ว่าจะทุนน้อยนักเตะไม่ดัง แต่ก็มีแนวทางทำทีมเป็นของตัวเองจนพา "เดอะ ทร็อตเตอร์" สร้างชื่อไปเล่นฟุตบอลยุโรป พอ "บิ๊กแซม" อำลา เขาขึ้นรับงานในบทกุนซือเป็นครั้งแรกแบบเต็มตัวในปี 2007 แต่ไม่กี่เดือนก็ถูกไล่ออก จนในที่สุดกลับมาเป็นโค้ชให้กับ ลิเวอร์พูล อีกครั้งหนึ่ง
แม้มีตัวอย่างมากมาย แต่ของอย่างนี้ไม่ลองไม่รู้ ทุกคนย่อมอยากเป็นหัวสุนัขมากกว่าหากเสือ หนทางพิสูจน์ม้า เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เคยรอซ ดีพอหรือไม่กับการออกเดินทางครั้งใหม่นี้ เหมือนที่ผ่านมาที่หลายต่อหลายคนได้ลองทำ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องยอมถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อกลับมาสู่สิ่งที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง