หลังจากรอคอยมานานถึง 44 ปี สเปน ก็ประสบความสำเร็จในระดับชาติเป็นแชมป์ ยูโร 2008 ต่อจากปี 1964 ที่สำคัญถือเป็นฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป ในฝันของใครหลายคน เพราะตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาแฟนบอลได้ดูเกมรุกสุดเร้าใจและในบั้นปลายทีมที่เอนเตอร์เทนที่สุดก็คว้าแชมป์ไปครอง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาฟุตบอลที่เต็มไปด้วยแท็กติกเน้นเกมรับรอหาจังหวะสวนกลับ แม้จะน่าเบื่อแต่ก็แสดงให้เห็นว่านำมาหากินได้ในระดับชาติ ดูอย่าง กรีซ ที่สร้างตำนานเทพนิยายใน ยูโร 2004 เหนียวแน่นทุกนัดจนคว้าแชมป์ได้สำเร็จ ถัดมาใน เวิลด์ คัพ 2006 อิตาลี ก็ใช้เกมรับเถลิงบัลลังก์ทีมที่ดีที่สุดในโลก
มาถึง ยูโร หนนี้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่ดีคือบรรดาทีมที่เน้นเกมรุกเต็มสูบพาเหรดกันเข้ารอบลึกๆ คับคั่งทั้ง รัสเซีย, โททัลฟุตบอลของ ฮอลแลนด์ ที่ถล่มทั้ง อิตาลี รวมถึง ฝรั่งเศส และ สเปน แต่สำหรับ "กระทิงดุ" ใช้เกมรุกสู้กับทีมหลากหลายรูปแบบและก็ผ่านมาได้ทั้งบอลสุดเขี้ยวอย่าง อิตาลี ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย รวมถึงบอลบุกด้วยกันอย่าง รัสเซีย ในรอบรองชนะเลิศ และสุดท้ายก็คือบอลหนักเต็มไปด้วยพละกำลังอย่าง เยอรมนี ในนัดชิงชนะเลิศ
สเปน ออกสตาร์ทด้วยระบบ 4-4-2 และก็ถลุง รัสเซีย ไปอย่างหมดรูป 4-1 แม้จะมีปัญหานักเตะบาดเจ็บแต่ก็แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นปรับมาเล่น 4-5-1 ในนัดชิงจนชิงพื้นที่ในแดนกลางของ เยอรมนี ได้อย่างอยู่หมัด จนกระทั่งเอาชนะไปได้ 1-0 ทั้งที่น่าจะยิงได้มากกว่านี้จากโอกาสซัด 14 ครั้งเข้ากรอบ 8 ครั้ง ผิดกับ "อินทรีเหล็ก" ที่ออกสตาร์ทได้น่ากลัวแต่ไปๆ มาๆ ยิงเข้ากรอบแค่ 3 ครั้ง
เป็นเกมนัดชิงสุดคลาสสิกทั้งสองทีมเล่นกันแบบไม่กลัวแพ้เปิดเกมรุกเข้าหากัน แต่เป็น สเปน ที่เน้นนักเตะพลังหนุ่มขึ้นเร็วลงเร็ว บุกแบบเต็มพื้นที่ไล่ตั้งแต่แบ็กสองข้างไปจนถึงกองกลาง 5 คนที่สลับสับเปลี่ยนเรียงหน้ากันขึ้นไปยิงประตูได้อย่างลงตัว จนมาจบที่ เฟอร์นานโด ตอร์เรส ซัดประตูโทนในนาทีที่ 33
สเปน ถือเป็นแชมป์ที่ไร้ข้อกังขาเพราะตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ 6 นัดพวกเขายิงได้มากที่สุดถึง 12 ลูก เฉลี่ยนัดละ 2 ประตู ตำแหน่งดาวซัลโวก็ยังเป็น ดาวิด บีญา ที่ซัดไปทั้งหมด 4 ลูก จากแฮตทริกใส่ รัสเซีย ในนัดแรกและอีกลูกในนัดถัดมากับ สวีเดน ส่วน ฮอลแลนด์ มีค่าเฉลี่ยยิงต่อนัดมากกว่าคือ 2.5 ประตูจากยิงได้ทั้งหมด 10 ลูก
เยอรมนี ก็ไม่น้อยหน้าซัดไปถึง 10 ประตูติดเข้ามาในอันดับที่ 3 แต่ว่าก็ต้องปิดฉากทัวร์นาเมนต์อย่างเจ็บช้ำ คนที่ต้องถูกพูดถึงมากที่สุดก็คือ มิชาเอล บัลลัค กับการคว้า 4 รองแชมป์ในปีนี้ เหมือนกับในปี 2002 ที่เล่นให้กับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน และแพ้ในนัดชิงฟุตบอลโลก 2002 ซึ่งแน่นอนคงไม่มีใครอยากจะทำลายสถิติอันนี้
หลังเกม โยอาคิม เลิฟ กุนซือหนุ่มของ เยอรมนี ที่ไม่คิดจะลงจากเก้าอี้ออกมายกย่อง สเปน ว่า "ผมต้องกล่าวชมลูกทีมตลอด 6 นัดที่ผ่านมา พวกเขามีช่วงเวลาที่สุดแสนวิเศษ นักเตะทุกคนย่อมต้องรู้สึกผิดหวังเป็นธรรมดา แต่เราจะไม่ปล่อยให้ตัวเราเองต้องมาจมอยู่กับสิ่งนี้ การเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเป็นสิ่งที่สุดยอด สเปน เป็นทีมที่มีโอกาสดีกว่าในวันนี้ด้วยเกมรุกที่มีของพวกเขา"
ส่วน หลุยส์ อราโกเนส กุนซือที่แก่ที่สุดใน ยูโร หนนี้ สามารถลบคำสบประมาทได้สำเร็จจากการไม่เลือก ราอูล กอนซาเลซ ติดทัพในครั้งนี้ เพราะเชื่อในความสามารถของนักเตะทุกคนสามารถทดแทนกันได้และยังเปลี่ยนตัวได้อย่างไม่เกรงใจ โดยเฉพาะ ดาเนียล กีซา ที่เป็นตัวสำรองแต่ก็ซัดได้ 2 ประตูเท่ากับ ตอร์เรส
ขรัวเฒ่าที่กำลังจะอายุครบ 70 ปี เตรียมอำลาทัพ สเปน เนื่องจากน้อยใจบอร์ดบริหาร แต่ยังไม่เลิกคุมทีมกล่าวว่า "ผมกำลังจะออกจากตำแหน่ง เพราะสมาคมยังทำได้ไม่ดีพอที่จะรั้งตัวผมไว้ ไม่มีใครพูดอะไรกับผมทั้งนั้นตอนที่เราผ่านรอบคัดเลือก ยูโร ผมจึงตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายออกมา และตอนนี้มันก็เดินถอยหลังไม่ได้แล้ว ที่มาพูดเช่นนี้เพราะผมไม่ต้องการให้คนอื่นคิดว่าผมต้องการจะไปเอง"
ถือเป็นการปิดฉากอย่างสวยหรูของ ยูฟา แม้ว่าตอนแรกจะเสี่ยงเลือกประเทศที่ไม่คลั่งฟุตบอลอย่าง สวิตเซอร์แลนด์ และ โปแลนด์ แต่สุดท้ายแล้วคอลูกหนังทั่วโลกก็เอนเตอร์เทนกับเกมลูกหนังใน ยูโร หนนี้ โดยเฉพาะแฟนโซนที่ เวียนนา มีคนเกือบล้านเข้าไปชมเกมนัดชิง รวมแล้วทั้ง 8 แห่งก็ปาเข้าไปเกือบ 4 ล้านคนเลยทีเดียว แต่งานที่ท้าทายกว่านี้ยังรออยู่พบกันใหม่ในอีก 4 ปีข้างหน้าที่ โปแลนด์ และ ยูเครน