ป่านนี้คงรู้แล้วว่าทีมใดระหว่าง เยอรมนี อดีตแชมป์ 3 สมัย กับ ตุรกี จะได้เข้าไปยืนรอชิงชนะเลิศศึก ยูโร 2008 หนนี้ แต่จะพบกับใครนั้นต้องรอหลังเกมนี้ที่ สเปน จะตัดเชือกกับ รัสเซีย ในวันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายนนี้ เวลา 01.45 น.ที่สนาม แอร์นส์ท ฮัปเปิล ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
หนังม้วนเดิมแต่จะจบเหมือนเดิมหรือไม่ต้องรอดู เพราะเกมประเดิมสนามกลุ่ม ดี สเปน ก็ถลุง รัสเซีย ไปแบบมันแข้ง 4-1 แต่ว่าโฉมหน้านักเตะของทัพ “หมีขาว” ชุดนั้นต่างจากชุดล่าสุดที่ชนะ ฮอลแลนด์ ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 3-1 ถึง 3 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ อังเดร อาร์ชาวิน เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งคืนสนาม หลังจากติดโทษแบน 2 นัดแรก
แต่ว่า สเปน ที่ทะลุเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศได้ก็ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา เพราะว่าครั้งนี้ถือเป็นหนที่ 3 ต่อจากปี 1964 ที่คว้าแชมป์ รวมถึงในปี 1984 ที่ได้รองแชมป์ ผลงานระดับมาสเตอร์พีซของลูกทีม หลุยส์ อราโกเนส ก็คือ การเอาชนะ อิตาลี ด้วยการดวลจุดโทษ 4-2 หลังจาก 120 นาทีเสมอกัน 0-0
มาดูที่สภาพความพร้อมกันก่อน สเปน ของ อราโกเนส ไม่มีปัญหาในการจัดทัพ แต่อาจจะเปลี่ยนส่ง เชส ฟาเบรกาส ออกสตาร์ทแทน ชาบี เฮอร์นานเดส แค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ มีนักเตะในดวงใจอยู่แล้ว เนื่องจากใช้ผู้เล่นชุดเดิมออกสตาร์ทมา 3 นัดแล้ว ส่วนอีกนัดที่มีการเปลี่ยนแปลงส่งชุดสำรองลงเล่นทั้ง 11 คน เป็นเกมนัดสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่มที่ไม่มีความหมายแล้ว คือ เกมชนะ กรีซ 2-1
อย่างไรก็ตาม สเปน มีปัญหาในเรื่องการแก้เกมของ อราโกเนส ที่ไม่ค่อยดี โดยเฉพาะการขัดใจแฟนบอลที่เปลี่ยน เฟอร์นานโด ตอร์เรส ออกมาแล้วถึง 2 เกม อาจจะส่งผลกระทบในเรื่องสภาพจิตใจและลามไปถึงฟอร์มของหอกจากค่าย ลิเวอร์พูล แต่เกมนี้คงได้ยืนคู่กับ ดาวิด บีญา ต่อไป โดยมี ดาวิด ซิลบา และ อันเดรียส อิเนียสตา คอยปั้นเกม
ผิดกับ รัสเซีย ที่จะไม่มี เดนิส โคโลดิน กองหลังเท้าหนัก และ ดมิทรี ทอร์บินสกี กองกลางตัวรุกที่ยิงประตูขึ้นนำ 2-1 ในเกมชนะ ฮอลแลนด์ เนื่องจากติดโทษแบน ทำให้ วาซิลี เบเรซูทสกี น่าจะได้ยืนในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟคู่กับ เซอร์เก อิ๊กนาเชวิช คู่หูในทีม ซีเอสเคเอ มอสโก รวมถึง โรมัน ชิโรคอฟ ที่อาจได้ออกสตาร์ทอีกครั้ง หลังได้ลงปั้นเกมในนัดแรกแล้วฟอร์มไม่ดีเลยหลุดจากทีมไปเลย
นอกจากนี้ ดิมิยาร์ บิลยาเล็ทดินอฟ, อิวาน ซาเอนโก และ อเล็กซานเดอร์ อันยูคอฟ ทั้งหมดมีปัญหาอาการบาดเจ็บคนละเล็กคนละน้อย แต่ว่าในที่สุดแล้วน่าจะฟิตลงเล่นในเกมรับมือ สเปน ได้อย่างแน่นอน แต่ก็เรียกได้ว่าน่าจะทำเอา กุส ฮิดดิงค์ กุนซือเลือดดัตช์ จอมวางแผนปวดหัวไม่น้อยกับการจัดทัพ รัสเซีย ในเกมนี้
แต่ว่าคีย์แมนในเกมนี้ของ รัสเซีย ที่เข้ารอบรองชนะเลิศศึก ยูโร เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ คงหนีไม่พ้น อาร์ชาวิน ที่มาระเบิดฟอร์มสุดยอดในสองนัดหลังด้วยการซัด 2 ประตู ทำหน้าที่เป็นตัวฟรีในแดนหน้า คอยป้อนบอลให้กับ โรมัน พาฟลูเชนโก กองหน้าตัวเป้าที่ซัดไปแล้ว 3 ประตู
สำหรับสถิติของทั้งสองทีมเคยปะทะแข้งกันมาแล้ว 9 ครั้ง รวมสมัยที่ รัสเซีย ยังอยู่กับ สหภาพโซเวียต ปรากฏว่า สเปน ชนะ 5 ครั้ง ส่วน รัสเซีย ชนะแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คือ ต้องย้อนไปในปี 1971 ในศึก ยูโร ด้วยสกอร์ 2-1 ส่วนทัพ “กระทิงดุ” ชนะใน ยูโร 3 ครั้ง คือ 2-1 ปี 1964, 1-0 ปี 2004 และ 4-1 ปี 2008
ในประวัติศาสตร์ของ ยูโร 12 ครั้งที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ มีอยู่ครั้งเดียวที่ทีมที่แพ้ในรอบแบ่งกลุ่ม และต้องมาเจอกันอีกในรอบน็อกเอาต์แล้วสามารถล้างตาเอาชนะได้ ก็คือ ในปี 1988 สหภาพโซเวียต ชนะไปก่อน 1-0 แต่ว่าในนัดชิงชนะเลิศ ฮอลแลนด์ ล้างแค้นเอาชนะไป 2-0 พร้อมคว้าแชมป์ไปครอง
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเกมนี้อยู่ที่ สเปน จำต้องใส่ชุดแข่งสีเหลืองที่เชื่อว่าเป็นสีอัปมงคล แม้ว่า ชาบี เฮอร์นานเดส กับ มาร์กอส เซนนา สองกองกลางคนสำคัญจะมองว่าไม่น่ามีปัญหา แต่ว่า อราโกเนส ไม่ค่อยชอบสีนี้ เพราะไม่ยอมให้มีสีเหลืองในเสื้อแข่งครั้งเมื่อคุม แอตเลติโก มาดริด อีกทั้งก็ไม่ยอมรับดอกไม้สีเหลืองตอน “กระทิงดุ” เดินทางไปเยอรมนี เพื่อทำศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่เมืองดอร์ทมุนด์ด้วย
ผลการแข่งขันที่คาด - เป็นคู่ที่เบียดกันอย่างมาก เนื่องจากสไตล์การเล่นใกล้เคียงกัน แต่เชื่อในการแก้เกมของ ฮิดดิงค์ ที่น่าจะจับทาง สเปน ได้ เนื่องจากเล่นเหมือนกันทุกนัด สุดท้ายน่าจะเป็น รัสเซีย ที่อาศัยความแข็งแกร่งบดจนอยู่หมัดก่อนเอาชนะไปได้ 2-1
หนังม้วนเดิมแต่จะจบเหมือนเดิมหรือไม่ต้องรอดู เพราะเกมประเดิมสนามกลุ่ม ดี สเปน ก็ถลุง รัสเซีย ไปแบบมันแข้ง 4-1 แต่ว่าโฉมหน้านักเตะของทัพ “หมีขาว” ชุดนั้นต่างจากชุดล่าสุดที่ชนะ ฮอลแลนด์ ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 3-1 ถึง 3 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ อังเดร อาร์ชาวิน เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งคืนสนาม หลังจากติดโทษแบน 2 นัดแรก
แต่ว่า สเปน ที่ทะลุเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศได้ก็ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา เพราะว่าครั้งนี้ถือเป็นหนที่ 3 ต่อจากปี 1964 ที่คว้าแชมป์ รวมถึงในปี 1984 ที่ได้รองแชมป์ ผลงานระดับมาสเตอร์พีซของลูกทีม หลุยส์ อราโกเนส ก็คือ การเอาชนะ อิตาลี ด้วยการดวลจุดโทษ 4-2 หลังจาก 120 นาทีเสมอกัน 0-0
มาดูที่สภาพความพร้อมกันก่อน สเปน ของ อราโกเนส ไม่มีปัญหาในการจัดทัพ แต่อาจจะเปลี่ยนส่ง เชส ฟาเบรกาส ออกสตาร์ทแทน ชาบี เฮอร์นานเดส แค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ มีนักเตะในดวงใจอยู่แล้ว เนื่องจากใช้ผู้เล่นชุดเดิมออกสตาร์ทมา 3 นัดแล้ว ส่วนอีกนัดที่มีการเปลี่ยนแปลงส่งชุดสำรองลงเล่นทั้ง 11 คน เป็นเกมนัดสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่มที่ไม่มีความหมายแล้ว คือ เกมชนะ กรีซ 2-1
อย่างไรก็ตาม สเปน มีปัญหาในเรื่องการแก้เกมของ อราโกเนส ที่ไม่ค่อยดี โดยเฉพาะการขัดใจแฟนบอลที่เปลี่ยน เฟอร์นานโด ตอร์เรส ออกมาแล้วถึง 2 เกม อาจจะส่งผลกระทบในเรื่องสภาพจิตใจและลามไปถึงฟอร์มของหอกจากค่าย ลิเวอร์พูล แต่เกมนี้คงได้ยืนคู่กับ ดาวิด บีญา ต่อไป โดยมี ดาวิด ซิลบา และ อันเดรียส อิเนียสตา คอยปั้นเกม
ผิดกับ รัสเซีย ที่จะไม่มี เดนิส โคโลดิน กองหลังเท้าหนัก และ ดมิทรี ทอร์บินสกี กองกลางตัวรุกที่ยิงประตูขึ้นนำ 2-1 ในเกมชนะ ฮอลแลนด์ เนื่องจากติดโทษแบน ทำให้ วาซิลี เบเรซูทสกี น่าจะได้ยืนในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟคู่กับ เซอร์เก อิ๊กนาเชวิช คู่หูในทีม ซีเอสเคเอ มอสโก รวมถึง โรมัน ชิโรคอฟ ที่อาจได้ออกสตาร์ทอีกครั้ง หลังได้ลงปั้นเกมในนัดแรกแล้วฟอร์มไม่ดีเลยหลุดจากทีมไปเลย
นอกจากนี้ ดิมิยาร์ บิลยาเล็ทดินอฟ, อิวาน ซาเอนโก และ อเล็กซานเดอร์ อันยูคอฟ ทั้งหมดมีปัญหาอาการบาดเจ็บคนละเล็กคนละน้อย แต่ว่าในที่สุดแล้วน่าจะฟิตลงเล่นในเกมรับมือ สเปน ได้อย่างแน่นอน แต่ก็เรียกได้ว่าน่าจะทำเอา กุส ฮิดดิงค์ กุนซือเลือดดัตช์ จอมวางแผนปวดหัวไม่น้อยกับการจัดทัพ รัสเซีย ในเกมนี้
แต่ว่าคีย์แมนในเกมนี้ของ รัสเซีย ที่เข้ารอบรองชนะเลิศศึก ยูโร เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ คงหนีไม่พ้น อาร์ชาวิน ที่มาระเบิดฟอร์มสุดยอดในสองนัดหลังด้วยการซัด 2 ประตู ทำหน้าที่เป็นตัวฟรีในแดนหน้า คอยป้อนบอลให้กับ โรมัน พาฟลูเชนโก กองหน้าตัวเป้าที่ซัดไปแล้ว 3 ประตู
สำหรับสถิติของทั้งสองทีมเคยปะทะแข้งกันมาแล้ว 9 ครั้ง รวมสมัยที่ รัสเซีย ยังอยู่กับ สหภาพโซเวียต ปรากฏว่า สเปน ชนะ 5 ครั้ง ส่วน รัสเซีย ชนะแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คือ ต้องย้อนไปในปี 1971 ในศึก ยูโร ด้วยสกอร์ 2-1 ส่วนทัพ “กระทิงดุ” ชนะใน ยูโร 3 ครั้ง คือ 2-1 ปี 1964, 1-0 ปี 2004 และ 4-1 ปี 2008
ในประวัติศาสตร์ของ ยูโร 12 ครั้งที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ มีอยู่ครั้งเดียวที่ทีมที่แพ้ในรอบแบ่งกลุ่ม และต้องมาเจอกันอีกในรอบน็อกเอาต์แล้วสามารถล้างตาเอาชนะได้ ก็คือ ในปี 1988 สหภาพโซเวียต ชนะไปก่อน 1-0 แต่ว่าในนัดชิงชนะเลิศ ฮอลแลนด์ ล้างแค้นเอาชนะไป 2-0 พร้อมคว้าแชมป์ไปครอง
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเกมนี้อยู่ที่ สเปน จำต้องใส่ชุดแข่งสีเหลืองที่เชื่อว่าเป็นสีอัปมงคล แม้ว่า ชาบี เฮอร์นานเดส กับ มาร์กอส เซนนา สองกองกลางคนสำคัญจะมองว่าไม่น่ามีปัญหา แต่ว่า อราโกเนส ไม่ค่อยชอบสีนี้ เพราะไม่ยอมให้มีสีเหลืองในเสื้อแข่งครั้งเมื่อคุม แอตเลติโก มาดริด อีกทั้งก็ไม่ยอมรับดอกไม้สีเหลืองตอน “กระทิงดุ” เดินทางไปเยอรมนี เพื่อทำศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่เมืองดอร์ทมุนด์ด้วย
ผลการแข่งขันที่คาด - เป็นคู่ที่เบียดกันอย่างมาก เนื่องจากสไตล์การเล่นใกล้เคียงกัน แต่เชื่อในการแก้เกมของ ฮิดดิงค์ ที่น่าจะจับทาง สเปน ได้ เนื่องจากเล่นเหมือนกันทุกนัด สุดท้ายน่าจะเป็น รัสเซีย ที่อาศัยความแข็งแกร่งบดจนอยู่หมัดก่อนเอาชนะไปได้ 2-1