สมาคมลูกหนังไทย สวมบทโหดถูกเวลา สั่งลงดาบแบนตลอดชีพ 7แข้งทีมกุยบุรี พร้อมกับโค้ช สุดดิพล เกิดพุ่ม ห้ามเข้าร่วมการแข่งขันหรือเกี่ยวข้องกับฟุตบอลทุกรายการของสมาคมฟุตบอล ยืนยันทำถูกต้องแล้วเพื่อรักษาภาพพจน์วงการลูกหนังไทย
เมื่อเวลา 14.00 น. ของวันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ 2551 ที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย มีการประชุมเพื่อพิจารณาลงโทษผู้กระทำความผิดในคดีทำร้ายร่างกายนายประคองสุข กั้วมาลา กรรมการผู้ตัดสินเกมการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน ประเภท ข รอบรองชนะเลิศ ที่ทีมกุยบุรี แพ้ ทีมมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต 1-4 ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
โดยการประชุมครั้งนี้มี "บิ๊กเปี๊ยก" องอาจ ก่อสินค้า เลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย อุดม อนันตพงษ์ ประธานฝ่ายประท้วงและพิจารณามารยาท รวมไปถึงกรรมการที่ร่วมพิจารณามารยาทอีก 8 คน และ "เสธ.เอ็กซ์" ฐิติวัชร์ กำลังเอก ประธานคณะกรรมการผู้ตัดสิน
ซึ่งภายหลังการประชุมได้มีการเปิดเผยว่า จากผลการสอบสวนผู้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ช่วยผู้ตัดสิน 2 คน , ผู้ตัดสินที่สำรอง , นายเกื้อ ชูศรี ผู้อำนวยการศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, ผู้ควบคุมการแข่งขัน, เจ้าหน้าที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย และแฟนฟุตบอลที่เข้าชมการแข่งขัน ต่างให้การมัดตัวนักเตะทีมกุยบุรีที่แสดงความไม่พอใจผลการตัดสินครั้งนี้ด้วยการทำร้ายร่างกายนายประคองสุข ผู้ตัดสินในเกมนี้จนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ทั้งนี้ อุดม อนันตพงษ์ เปิดเผยว่า เหตุการณ์แบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงทั้งหมดจึงได้ทำการสอบสวนอย่างเคร่งครัด และรัดกุมที่สุด เพื่อที่จะได้ลงโทษผู้กระทำผิดที่ทำให้วงการฟุตบอลเสื่อมเสีย
"ตามระเบียบของสมาคมฟุตบอลมีการวางไว้ว่าหากมีความผิดร้ายแรงก็จำเป็นต้องลงโทษแบนตลอดชีวิต คือห้ามยุ่งเกี่ยวกับการแข่งขันฟุตบอลที่จัดขึ้นโดยสมาคมฟุตบอลทั้งหมดทุกรายการ โดยคนที่ได้รับโทษนี้คือ นายสุดดิพล เกิดพุ่ม โค้ชทีมเทศบาลกุยบุรี และนักเตะที่รุมทำร้ายกรรมการอีก 7 คน ส่วนผู้เล่นอีก 2 คนถูกลงโทษแบน 5 ปี ขณะที่นักเตะคนอื่นๆ ของทีมจะถูกภาคทัณฑ์เป็นเวลา 2 ปี อย่างไรก็ตามทีมกุยบุรียังคงได้สิทธิ์ลงเล่นในฟุตบอลถ้วย ข ต่อไปในฤดูกาลหน้า"
ด้าน ประคองสุข กั้วมาลา ผู้ตัดสินเหยื่อแข้งโหด กล่าวถึงสภาพร่างกายตอนนี้ยังไม่ดีขึ้น ต้องให้ภรรยาต้องลางานมาดูแลรักษาพยาบาลทุกอย่างทั้งหมด เรื่องของบทลงโทษคงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสมาคมฟุตบอล ส่วนเรื่องของกฎหมายต้องดำเนินการไปตามขั้นตอน เพื่อให้ความจริงปรากฎต่อไป และจะได้เป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก
