แม้ว่าก่อนเดินทางไปเยือนญี่ปุ่น นักเตะแดนสยามจะผ่านการฟิตซ้อม รวมถึงมีการเตรียมตัวที่ดี ทว่าผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย กลุ่มบี ที่ทีมชาติญี่ปุ่น เอาชนะทีมชาติไทย ไปด้วยสกอร์มโหฬาร 4-1 เป็นการประเดิมนัดแรกของทั้งสองทีมในรอบ 20 ทีมสุดท้าย
แต่การแข่งขันเพิ่งเริ่มต้นแม้จะแพ้นัดแรกหากแสงที่ปลายอุโมงค์ยังไม่ได้ดับวูบไป โอกาสที่จะผ่านเข้ารอบยังพอมีเช่นที่ “เสือเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ” นักฟุตบอลทีมชาติรุ่นพี่ที่มองการเล่นของแข้งไทยในนัดนี้ภายหลังจบการว่า “สิ่งที่เราสู้เขาไม่ได้คือเรื่องของแท็คติก เทคนิค และกายภาพ หลังจบครึ่งแรกแล้วผมยังเป็นห่วงว่าเขาจะทำอย่างไรให้กลับมาครึ่งหลังยังยันเกมได้ต่อไปโดยไม่ช็อตไปดื้อๆ เพราะเราต้องเข้าใจว่าคงมีนักฟุตบอลไทยไม่กี่คนหรอกที่เคยไปเล่นในสภาพอากาศท่ามกลางหิมะตกขนาดนั้น”
“พอเกมครึ่งหลังได้ไม่นาน เราก็เสียประตูที่ 2 จากความโชคร้าย ที่ณรงชัยสกัดบอลพลาดไปเข้าทางเขา แล้วไม่นานก็โดนไล่ออกจากสนาม ผมไม่โทษใครหรอก เพราะคิดว่าการที่นักฟุตบอลไทยสามารถยันเกมกับญี่ปุ่นได้ขนาดนี้ถือว่าน่าพอใจ”
ทั้งนี้ “เสือเตี้ย” กล่าวต่อไปว่า “สกอร์ที่ออกมา 4-1 นั้นมันน่าผิดหวัง แต่ต้องไม่ลืมว่านักเตะไทยเล่นได้ตามแท็คติกดีมาก คือเขาเชื่อฟังในคำสั่งสอนของโค้ช แล้วก็พยายามทำตามที่โค้ชวางแผนมา ทุกคนเล่นได้อย่างมีวินัยในเกมรับ ต่อให้เสียประตูที่ 2 แล้ว ก็ยังคงเล่นตามแผน ผมว่าถึงตรงนี้ โค้ชชาญวิทย์ ผลชีวิน ก็น่าจะพอใจ เพราะเราก็คงไม่อยากแพ้เยอะ ไม่มีใครอยากแพ้ แต่การที่เล่นได้ตามแผนที่วางไว้มันส่งผลดีต่อทีมโดยรวมมากกว่า ที่สำคัญเราแพ้ในวันนี้ก็เพราะว่าโชคร้ายด้วย”
ทั้งนี้อดีตดาวเตะทีมชาติไทยรายนี้กล่าวต่อไปด้วยว่า “ถึงตรงนี้โอกาสผ่านเข้ารอบของทีมชาติไทยยังมีอยู่ คือตั้งแต่แรกผมก็มองว่าเราจะเข้ารอบได้แต่อาจเป็นที่ 2 อยากทำความเข้าใจกันก่อนที่บอกว่ามีลุ้นเข้ารอบแล้วจะเป็นที่หนึ่งในสายเลยนั้นคงไม่ใช่ เพราะต้องรู้กันก่อนว่ามาตรฐานฟุตบอลของเรากับญี่ปุ่นนั้นห่างกันเยอะ ถ้าคิดจะเอาชนะญี่ปุ่นแล้วเข้ารอบเป็นที่ 1 ในสายบีมันหลอกตัวเองเกินไป”
“แม้ว่านัดแรกเราจะแพ้แต่โอกาสยังมีอยู่ ผมมองว่าเกมกับ โอมาน และ บาห์เรน ในนัดที่เหลืองานนักหนาพอกัน ถ้ายังรักษาฟอร์มแบบนี้เอาไว้ได้เรายังมีโอกาสอยู่เสมอ มันน่าผิดหวังแค่ผลการแข่งขัน แต่รูปเกมและแท็คติกโดยรวมแล้วมันยังมีโอกาสอยู่”
ด้าน "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตหัวหอกจอมตีลังกา กล่าวถึงนักเตะรุ่นน้องว่า "ทีมเราสู้เต็มที่แล้ว แต่ด้วยความเสียเปรียบในเรื่องรูปร่าง แท็คติก และสภาพอากาศ มันทำให้เราเป็นรองอยู่มาก แต่มันคงไม่ใช่ข้ออ้างที่จะหยิบมาพูดกัน ต้องยอมรับความจริงในจุดนี้"
"ในครึ่งแรกเราทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้คือรูปเกมค่อนข้างน่าพอใจทีเดียว แต่การที่ตลอด 90 นาที แล้วได้ยิงประตูแค่ครั้งเดียว มันก็ถือว่าเราไม่สามารถสร้างสรรค์เกมได้ตามที่วางแท็คติกไว้ ผมคิดว่าการแพ้ 2-1 น่าจะเป็นผลดีกับเรา แต่ด้วยประสบการณ์ในสนามที่ได้ทำงานร่วมกับนักเตะทีมชาติหลายๆ คนทำให้เรารู้ว่าพอเสียประตูมันก็มีท้อ มีหมดเหมือนกัน"
ทั้งนี้อดีตศูนย์หน้าทีมชาติไทยกล่าวต่อไปด้วยว่า "ผมคิดว่าเราไปโทษอาจารย์หรั่ง ชาญวิทย์ ผลชีวิน หรือ คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง ผู้จัดการทีม หรือนักเตะทีมชาติไทยคงไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องแก้ไขร่วมกัน เราต้องกลับมาทำการบ้านกันใหม่ เมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าเขาเล่นสไตล์เพรสซิง เราก็ต้องหาวิธีแก้ไขให้ได้ ซึ่งวันนี้ดูเหมือนเราจะไม่สามารถแก้เกมตรงนี้ได้จึงทำให้เราแพ้เขา"
"แต่โอกาสของทีมชาติไทยในการเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายของศึกฟุตบอลโลกโซนเอเชียก็ยังมีอยู่ ถ้าเราสามารถเก็บ 3 คะแนนในบ้านได้อย่างต่อเนื่องโอกาสเราก็ยังมีลุ้นอยู่ เราคงต้องให้กำลังใจกันต่อไป"
ทางด้าน "น้าฉ่วย" สมชาย ชวยบุญชุม อดีตดาวเตะทีมชาติไทยรุ่นเก๋า ที่ปัจจุบันรับงานโค้ชให้กับทีมสมุทรสงคราม ในศึกไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก มองว่าทีมชาติไทยยังมีมาตรฐานห่างจากยอดทีมจากเอเชียอยู่อีกไกล
"เราต้องยอมรับความจริง อย่าไปหลงกับภาพที่เขาสร้างมาหลอกตาเรา เพราะมาตรฐานของทีมชาติไทย กับทีมชาติญี่ปุ่นมันห่างกันมาก ในความเห็นของผมมองว่ามันห่างกันถึง 3 ขั้นด้วยกัน มันจึงเป็นเรื่องยากที่เราจะไปต่อกรกับเขา" ทว่าอดีตดาวเตะทีมชาติไทยยุคเดียวกับ ดาวยศ ดารา ตำนานนักเตะไทย เชื่อว่าโอกาสเข้าสู่รอบ 10 ทีมสุดท้ายก็ยังพอมี "มันมีโอกาสอยู่บ้างเหมือนกัน แต่มองก็มองว่ามันมีไม่มากนัก เพราะเราลองมาดูฟุตบอลลีกบ้านเรามันก็มาตรฐานไม่สูง เรื่องจะไปสู้กับเขาก็ยาก"
ถึงเวลานี้คงต้องรอดูว่าทีมชาติไทยจะกลับสู่ฟอร์มการเล่นที่ดี พร้อมทั้งเก็บรักษาเป้าหมายการผ่านเข้าสู่รอบ 10 ทีมสุดท้ายในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชียต่อจากนี้ได้หรือไม่