ดร.สุวิทย์ ยอดมณี รัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา ฝากรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเข้ามาทำหน้าที่ ไม่ควรลดเงินรางวัลอัดฉีดนักกีฬา แต่ควรจะเพิ่มตามความเหมาะสม เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ พร้อมย้ำกระทรวงนี้มีงานมาก จำเป็นต้องมีรัฐมนตรีช่วยมาแบ่งเบาภาระ
เมื่อวันที่ 18 มกราคม ที่ผ่านมา ดร.สุวิทย์ ยอดมณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดงานเลี้ยงขอบคุณสื่อมวลชน และแถลงผลงานของกระทรวง ณ ห้องปาริชาต โรงแรมเรดิสัน กรุงเทพฯ โดย ดร.สุวิทย์ กล่าวถึงผลงานที่ผ่านมาว่า
“ที่ผ่านมาเราได้ดำเนินการไปหลายอย่าง ในส่วนของกีฬานั้นได้มีการส่งเสริมให้นักกีฬาได้มีสร้างขวัญและกำลังใจในฐานะเป็นตัวแทนของชาติในการเข้าแข่งขันกีฬาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผลตอบแทนเป็นเงินรางวัล ความก้าวหน้าในการให้ทุนเรียนรวมทั้งการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง ความมั่นคงโดยการพิจารณาเข้าทำงาน อย่างเช่นเร็วๆ นี้ ก็มีนักกีฬาวอลเลย์บอล และตะกร้อได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเรียบร้อยแล้ว รวมไปถึงการยกย่องเชิดชูเกียรติ และให้สวัสดิการต่างๆ”
“ส่วนผลงานด้านอื่นๆ ที่เราได้ทำคือ การรวมลีกฟุตบอลในประเทศ รวมทั้งการปรับปรุงสนามราชมังคลากีฬาสถานให้ได้มาตรฐานจนสามารถจัดการแข่งขันเอเชียนคัพได้ ซึ่งผลที่ตามมาจะทำให้ประเทศไทยสามารถจัดการแข่งขันกีฬาในระดับนานาชาติได้ และที่สำคัญคือการนำวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพของนักกีฬา”
นอจากนี้ ดร.สุวิทย์ ยังได้ฝากถึงเจ้ากระทรวงคนใหม่ที่จะเข้ามาทำงานว่า “ผมอยากฝากเรื่องการแปรรูปสำนักงานท่องเที่ยว กีฬา และนันทนาการ ที่ยังเหลืออีก 44 แห่งทั่วประเทศ ด้านกีฬามวลชนที่ยังดูน้อยเกินไป อยากให้รัฐบาลชุดใหม่ให้โอกาสผู้สูงอายุและผู้พิการอย่างเต็มที่ รวมไปถึงวิทยาศาสตร์การกีฬาที่ยังขาดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ”
รัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬากล่าวต่อไปว่า “ที่สำคัญที่สุดคือเรื่องเงินอัดฉีดสำหรับนักกีฬา แน่นอนว่าเงินไม่ใช่สิ่งเดียวที่จะทำให้นักกีฬาประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญในด้านขวัญและกำลังใจ ผมไม่เห็นด้วยกับการไปลดเงินอัดฉีดในการแข่งขันรายการต่างๆ จากที่มีการกำหนดเอาไว้เดิม แต่ควรจะเพิ่มในส่วนของบางชนิดกีฬาและบางรายการที่เห็นว่าได้เหรียญมาอย่างยากลำบาก จึงขอฝากรัฐบาลชุดใหม่พิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบด้วย”
ดร.สุวิทย์ ยังพูดถึงการทำงานร่วมกันของท่องเที่ยวและกีฬาด้วยว่า “ถึงตรงนี้ผมยังยืนยันว่างานด้านท่องเที่ยวและกีฬาสามารถไปด้วยกันได้ แต่ด้วยภาระงานที่ค่อนข้างมากผมจึงคิดว่าควรจะมีรัฐมนตรีช่วยมาแบ่งเบาภาระ แต่ไม่ควรแยกว่าคนหนึ่งทำท่องเที่ยว อีกคนทำกีฬา น่าจะช่วยๆกันทำและรู้เรื่องงาน 2 ด้านดีกว่า”