รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว แนะจับตา ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ กำลังทำการเมืองแบบซ่อนเงื่อน พร้อมจะหักหลังขั้วอำนาจเก่า หลังทำลายพลังศรัทธาของกลุ่มเสื้อเหลือง-สลิ่มที่มีต่อสถาบันต่างๆ ได้สำเร็จ ขณะที่ภาพ ‘เพื่อไทย-ก้าวไกล’ สู้กันในเกม แต่อนาคตจะเป็น 2 พรรคที่ยึดครองประเทศ ด้านกลุ่มอำนาจเก่าพ่ายตั้งแต่ใช้ "ลูกหมาดีลพญาเสือ" เชื่อหากต้องการพลิกเกมต้องรัฐประหาร จบเร็ว แต่นองเลือดแน่ แจงกลุ่มสลิ่มอย่าสิ้นหวัง ขอให้ดูการเมืองแบบดูละครฉากใหญ่ ‘ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร’ ระบุเกมนี้ต้องดูยาวๆ ใครหักหลังก่อนมีโอกาสได้รับชัยชนะ แต่ฉากสุดท้าย ชัยชนะจากทุกฟากฝั่งมักแลกกับชีวิตประชาชน!
สถานการณ์การเมืองไทยชวนให้ติดตาม โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่กลับเข้ามาเมืองไทย ดูเหมือนจะยิ่งสร้างความแตกแยกให้ผู้คนในสังคมเพิ่มขึ้นหรือไม่ เพราะแต่ละครั้งที่นายทักษิณ ปรากฏกายออกมา คนที่ไม่ชอบหรือพวกที่ถูกเรียกว่า ‘สลิ่ม’ ยิ่งรู้สึกว่านายทักษิณ ทำตัวใหญ่ฮึกเหิม ไม่สนใจกฎหมายหรือระเบียบกติกาของบ้านเมือง พร้อมๆ กับมีคำถามในใจว่าการต่อสู้ที่ผ่านมาของบรรดาคนเห็นต่าง หรือสลิ่มถือเป็นการเหนื่อยฟรี ใช่หรือไม่?
อีกทั้งผลสำรวจของสำนักวิจัยซูเปอร์โพลหัวข้อ "จับกระแสโพล ทักษิณ ชินวัตร" พบว่า ประชาชน 66.9% ยอมรับว่านายทักษิณเป็นผู้มีบารมี ส่วน 33.1% ระบุว่าไม่เป็น และเมื่อแบ่งตามอาชีพ พบว่า กลุ่มค้าขายยอมรับว่าเขาเป็นผู้มากบารมี มากที่สุดถึง 78.3% รองลงมาคือ กลุ่มข้าราชการ 74.2% เป็นต้น
รวมไปถึงภาพแห่ต้อนรับนายทักษิณ ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่เชียงใหม่ ที่มีทั้งบรรดารัฐมนตรี ส.ส. ข้าราชการ และประชาชน คนรุ่นเก่ารุ่นใหม่ ยิ่งแสดงให้เห็นถึง ‘อำนาจ-บารมี’ ที่ทำให้ขั้วอำนาจเก่าสะเทือนได้เช่นกัน
รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว รองคณบดี คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา บอกว่า เห็นด้วยกับผลสำรวจของซูเปอร์โพลครั้งนี้ ที่ประชาชนยอมรับว่านายทักษิณ เป็นผู้มีบารมี จากการติดตามและวิเคราะห์การเมืองมาอย่างต่อเนื่อง จึงเห็นว่านี่คือเส้นทางการเดินเข้าสู่อำนาจอีกครั้งของเขา แต่เป็นการพ่ายแพ้ของกลุ่มอำนาจเก่า
“ทักษิณ เท่านั้นที่จะต่อลมหายใจเฮือกสุดท้ายของกลุ่มอำนาจเก่าทั้งหมด แต่ลืมไปว่าทักษิณ ไม่ใช่คนที่ต่อรองอะไรง่ายๆ เพราะเขารู้ว่าสถานการณ์แบบนี้เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ คิดแบบพ่อค้า นี่เป็นการลงทุนที่กำไรเกินคุ้ม ต้องไม่ลืมพ่อค้าต้องเอากำไรสุดๆ”
ทั้งนี้ เพราะกระบวนการต่างๆ ที่ทำให้นายทักษิณ ยืนอยู่ได้ทุกวันนี้ประชาชนรู้สึกได้ว่าไม่ตรงไปตรงมา สะท้อนให้เห็นถึงความมีอภิสิทธิ์ต่างๆ ที่ล้วนมาจากกระบวนการยุติธรรมทั้งสิ้น
“มันเป็นราคาที่ต้องจ่ายสูงมากของกลุ่มอำนาจเก่าที่ฉลาดน้อยกว่านายทักษิณ เพราะเขารู้ดีว่าการที่จะทำลายอำนาจเก่าระยะยาวนั้นต้องทำลายพลังศรัทธาทั้งหมดที่มีอยู่”
รศ.ดร.โอฬาร ย้ำว่า ประชาชนที่มีศรัทธาต่อกลุ่มอำนาจเก่าเริ่มมองออกและเห็นว่าท้ายที่สุด กลุ่มอำนาจเก่าก็ทิ้งประชาชนที่ศรัทธา เพื่อต้องการจะยื้ออำนาจไว้ในระยะสั้น ด้วยการร่วมมือกับนายทักษิณ ขณะที่นายทักษิณ ก็ฉลาดพอที่จะเลือกทำลายกลไกที่ค้ำชูระบอบเก่าทั้งหมด เพียงแต่ว่าต้องรอจังหวะและเวลาเท่านั้น
โดยสิ่งที่นายทักษิณ ได้อภิสิทธิ์ไปนั้นไม่ต้องติดคุก อยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ หรืออะไรต่างๆ ล้วนแต่กฎหมายเปิดช่องทั้งสิ้น จนเกิดคำถามตามมาว่า ประชาชนยังคงศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมมากน้อยแค่ไหน หรือภาพลักษณ์กองทัพ สถาบันตำรวจ เสื่อมถอยหรือไม่
“จริงๆ รัฐบาลนี้ควรเข้าไปผลักดันให้สถาบันเหล่านี้กลับมาสง่างามหลังตกเป็นจำเลยสังคม แต่เสมือนจงใจปล่อยให้มันเสื่อม ถ้าทำแบบนี้ต่อไป ในระยะยาวผมเชื่อว่านายทักษิณ จะหักหลังอำนาจเก่า ขอย้ำไม่ใช่เวลานี้นะ”
ส่วนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ต้องยอมรับว่ากลุ่มอำนาจเก่าประเมินนายทักษิณ ต่ำเกินไป เพียงเพราะมีความจำเป็นต้องใช้นายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย มาต่อสู้กับพรรคก้าวไกลใช่หรือไม่ ตรงนี้คือเกมระยะสั้นและดูไม่แปลกที่นายทักษิณ จะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง จนดูเหมือนเป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญไปแล้ว
“อยากให้ประชาชนและอำนาจเก่าดูให้ลึก ทั้งเพื่อไทยและก้าวไกลครองตลาดการเมืองทั้งหมด แต่ 2 พรรคนี้ดูสู้กันในเกม แต่ถ้าดูกันยาวๆ เขามีโอกาสร่วมมือกัน เพราะ 2 พรรครู้ว่า ส่วนแบ่งการตลาดระยะยาว ไม่มีใครสามารถครองพื้นที่การเมืองนี้ได้”
กระนั้นอยากจะชวนสังคมมองไปที่การเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าเพื่อไทยและก้าวไกลชูธงเรื่องปฏิรูปโครงสร้างในการหาเสียงถามว่าประชาชนจะเลือก 2 พรรคนี้หรือไม่ ขณะที่พรรคอื่นที่ดูเหมือนจะเป็นอีกขั้วหนึ่งไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ สู้ 2 พรรคนั้นไม่ได้อยู่แล้ว นี่คือความชอบธรรมที่อำนาจเก่าจะไปจัดการเขาไม่ได้ เพราะทั้ง 2 พรรคสามารถชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย และโอกาสที่ 2 พรรคนี้จะได้ ส.ว.เข้ามามากที่สุดเช่นกัน
“จะได้ทั้ง ส.ส.และ ส.ว. มากที่สุด คือสามารถครองใจประชาชนได้มากที่สุด นั่นคือ ทั้ง 2 พรรคจะยึดครองประเทศได้ในอนาคต”
ประเด็นที่น่าห่วงคือ ประชาชนจำนวนมากที่เคยศรัทธาอำนาจเก่ากำลังเคว้งมาก ไม่เห็นเสาหลักที่จะค้ำจุน และนายทักษิณ จะไม่มีทางสะดุดขาตัวเองแน่ เพราะเขามีบทเรียนในอดีตมาแล้ว
แต่ถ้าจะถามว่าขั้วอำนาจเก่าจะหันมาทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นและผลลัพธ์ที่ตามมาก็ทำได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าจะเลือกแบบจบช้าหรือจบไว คือถ้าอำนาจเก่ารู้ว่าผิดพลาดและปล่อยให้ฝ่ายนี้รุกคืบที่เป็นผลมาจากการใช้ “ลูกหมาไปดีลพญาเสือ” หากจะเลือกใช้วิธีการรัฐประหารก็จบไว
“แม้พญาเสือจะห่างจากบ้าน 17 ปี แต่เขี้ยวเขาลากดิน มันเป็นการพลาดยาวซึ่งโอกาสที่ทักษิณ จะสะดุดก็ไม่มี จะทำรัฐประหารตอนนี้ก็ยิ่งจะหนัก ทั้งแดงและส้มไม่ยอมแน่ ประชาชนทั่วไปไม่ยอมเพราะรู้ว่าพวกคุณไม่จริงใจกับประชาชนเหมือนกัน”
รศ.ดร.โอฬาร ระบุว่า รัฐประหารในสถานการณ์แบบนี้มีแต่จะนองเลือดและจะไม่มีใครอยู่ข้างอำนาจเก่า เพราะคนกลุ่มนี้คิดว่าอำนาจเก่าทำลายน้ำใจประชาชน ทำให้คนเคว้ง
“จริงๆ คนที่ไม่ชอบทักษิณก็มีเยอะแต่พอมาถึงวันนี้ นายทักษิณกลับมามีอำนาจ พวกเขารู้ว่าใครเป็นคนให้คุณทักษิณได้มีวันนี้ พอถึงวันนั้นจะมาหาประชาชนคงยาก ส่วนพรรคก้าวไกลในฐานะฝ่ายค้าน เหมือนยังปล่อยไม่สุดแขน มันมีนัยของมันอยู่ อย่างที่คุณธนาธร บอกว่าก้าวไกล เพื่อไทยเป็นพันธมิตรกัน จะช้าหรือเร็วเท่านั้น”
ขณะเดียวกัน การแสดงออกของนายทักษิณ ที่ดูเหมือนไม่เกรงใจใครเลยทั้งที่จริงน่าจะเหนียมไว้บ้าง แม้จะมีดีลลับอะไรก็ตาม เริ่มตั้งแต่ควรจะรักษาเกียรติในกระบวนการยุติธรรมบ้าง คือควรจะยอมติดคุกสัก 1 ปี ซึ่งใครๆ ก็รู้ระดับ VVIP แม้จะติดก็ไม่ได้ติดแบบคนปกติทั่วไปอยู่แล้ว แต่เขาเลือกที่จะไม่ติดแม้แต่วันเดียว และเดินเส้นทางนี้เพราะรู้ว่าอำนาจการต่อรองสูงมาก ฝ่ายอำนาจเก่าต้องยอม เป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรมทั้งสิ้น
ประการที่ 2 การไปอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ ทำให้คนสิ้นศรัทธาซึ่งเป็นการทำลายสถาบันทางการแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ นี่คือการหยามหัวใจแพทย์ทั้งประเทศ
ประการที่ 3 ทำให้รัฐบาลและระบบรัฐสภาเสื่อม ถูกมองว่าเขามีอำนาจจึงซื้อได้ แม้กระทั่งการอภิปรายที่ผ่านมาของฝ่ายค้านที่สังคมจับตาดู ก็ปล่อยไม่สุดแขน
ประการที่ 4 การเคลื่อนไหวของนายทักษิณ แสดงออกในบทบาทเพื่อจะทำลายศรัทธาประชาชนที่มีกับอำนาจเก่าให้สิ้นซาก คือ ไม่ชอบผมไม่เป็นไร แต่คนเสื้อเหลืองและสลิ่มก็จะไม่ชอบคนที่ตัวเขาไปดีลด้วย
“กลุ่มเสื้อเหลืองและพวกสลิ่มจะไม่ชอบทักษิณและไม่ชอบก้าวไกล เขามีกลุ่มอำนาจเก่ายึดโยงเขาไว้ แต่วันนี้อำนาจเก่าไปจับมือทักษิณ คนกลุ่มนี้จะเคว้ง นายทักษิณเลือกที่จะทำลายพลังศรัทธาสุดท้ายของอำนาจเก่า เพราะกฎหมายเขียนมาเพื่อเขาเองแล้วยังไง”
รศ.ดร.โอฬาร บอกต่อว่า นายทักษิณ เคยพูดย้ำเสมอว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่าเป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ตอนนี้ตัวเองเป็นอีกคนที่เป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ เพราะสามารถบริหารประเทศ บริหาร ครม. ทั้งที่ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีตามกฎหมาย จนเกิดเสียงวิจารณ์ว่าเขาเป็นคนตั้งนายกฯ-ครม.และกำหนดทิศทางการบริหารรัฐบาล นี่คืออำนาจนอกระบบนอกกติกาของรัฐทั้งสิ้น?
“พล.อ.เปรม กับทักษิณ เป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ที่ต่างกัน คือป๋าเปรมยังอยู่ภายใต้อำนาจเก่า อำนาจในเชิงวัฒนธรรม แต่นายทักษิณ อยู่เหนืออำนาจทั้งหมด เพราะอำนาจเก่า อำนาจในเชิงวัฒนธรรมต่างหมดที่พึ่ง ไม่สามารถครองใจประชาชนได้ เขาไม่สามารถรักษาสัมพันธ์อำนาจที่ยึดโยงตัวอำนาจไว้กับประชาชน ภายใต้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจ เขาเลือกพึ่งพาทักษิณ เพื่อหวังให้ทักษิณ ต่อสู้กับก้าวไกล มันก็ทำให้เขาเสียต้นทุนไปอีก”
ส่งผลให้กระบวนการ ระบบราชการ กลไก สถาบันทั้งหมดที่เคยค้ำจุนมันพังทลายไปหมด เพื่อหวังชัยชนะระยะสั้น เพื่อสู้กับก้าวไกล โดยที่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วการใช้วิธีนี้ไม่ชนะเลย เพราะพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งเพราะความคิดของคนจำนวนมากที่ไม่พอใจเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หากคิดแก้ด้วยการยุบพรรคก้าวไกล ก็ตั้งพรรคใหม่ขึ้นมา ดีไม่ดีร่วมมือกับเพื่อไทยยึดครองในระยะยาวได้ง่าย
นอกจากนี้ สิ่งที่อำนาจเก่าต้องคิดและทบทวนจากปรากฏการณ์ทักษิณครั้งนี้ สังคมได้เรียนรู้ว่าการเมืองเป็นเรื่องของคนชั้นนำ เล่นเกมกันเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ระหว่างทะเลาะกันอยู่นั้น มีตัวแทนประชาชนคือพรรคก้าวไกลยึดครองพื้นที่สภาได้ ก็รู้สึกตกใจต้องจับมือกันทันที
“แต่การจับมือระหว่างอำนาจเก่าและทักษิณ อยู่ภายใต้ความหวาดระแวง เพราะมีทิศทางทางการเมืองที่ต่างกัน ก็ทำให้อำนาจเก่าเสียเปรียบทักษิณ วันนี้มันก็ชัดแล้วว่า ทักษิณ ขี่คออำนาจเก่า ที่มีทั้งกองทัพ ตำรวจ กระบวนการยุติธรรม ระบบราชการมันเสื่อมไปหมด จากคุณทักษิณคนเดียว คือมันเสื่อมอยู่ก่อนแล้ว พอคุณทักษิณซ้ำและจงใจทำแบบนี้ก็ยิ่งเสื่อมลงอีก”
ดังนั้น หากนายทักษิณ อยากจะรักษาภาพลักษณ์ของอำนาจเก่า ก็ควรยอมติดคุก วันนี้จะครบปีแล้ว ทุกฝ่ายจะดูสง่างาม และอาจทำให้ประชาชนที่ไม่ชอบนายทักษิณ หันมาชอบมากขึ้นก็ได้ เพราะเห็นว่าเขายอมรับในกระบวนการยุติธรรมแบบตรงไปตรงมา
สิ่งที่ประชาชนต้องจับตาดูคือโอกาสจะฟื้นพรรคเพื่อไทยนั้น รศ.ดร.โอฬาร บอกว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ นโยบายหลายๆ เรื่องเป็นไปไม่ได้ และเสียงตอบรับในตัวนายเศรษฐา ทวีสิน และแพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยังไม่มีกระแสดีพอ สามารถเช็กเรตติ้งได้ ส่วนบรรดาแกนนำ 14 ตุลา ก็เริ่มไม่สอดคล้องกับยุคสมัย มีทางเดียวคือนายทักษิณ และพรรคเพื่อไทยต้องมาเป็นฝ่ายประชาธิปไตยคู่กับพรรคก้าวไกลเท่านั้น
“ทักษิณยังเชื่อแนวการเมืองแบบเดิม ที่ตัวเองมีอำนาจ มีเงิน connect การเมืองเจ้าพ่อท้องถิ่นกับพวกบ้านใหญ่ จัดสรรผลประโยชน์แบบเดิม แต่ลืมไปว่า 17 ปี ที่ห่างจากการเมืองนั้น ชีวิต ความคิดประชาชนเปลี่ยนไปเยอะ นายทักษิณ คือความหวังสุดท้ายของการเมืองแบบเก่าเท่านั้น”
ขณะที่นักการเมืองในสายตาคนรุ่นใหม่ คือตรงไปตรงมา มีหลักการ เป็นการเมืองที่มีธรรมาภิบาล และสามารถคาดคะเนได้ ส่วนการเมืองแบบเก่าพลิกแพลง ตลบตะแลง ซึ่งคนรุ่นใหม่ไม่เอาแน่
อย่างไรก็ดี ประชาชนที่ติดตามการเมืองโดยเฉพาะเสื้อเหลืองและสลิ่มที่รู้สึกผิดหวัง ก็อย่าสิ้นหวัง แต่ให้เข้าใจว่านี่คือธรรมชาติของการเมือง ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร และให้คิดเสมอว่าเป็นการดูละคร ต้องทำใจให้นิ่ง เรียนรู้ทางการเมือง ถ้าอยากทำงานการเมืองก็ทำในส่วนของประชาชน มีส่วนร่วมได้ในการเมืองท้องถิ่น การเมืองสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ไม่ต้องคาดหวังการเมืองในระบบตัวแทนนั่นเอง
รศ.ดร.โอฬาร กล่าวทิ้งท้ายว่า คนที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังได้รับชัยชนะก็อย่าประมาท สุดท้ายยังสรุปอะไรไม่ได้ เพราะนี่ คือโรงละครฉากใหญ่ ใครหักหลังก่อนก็มีโอกาสได้รับชัยชนะ แต่ฉากสุดท้าย ชัยชนะจากทุกฟากฝั่งมักแลกกับชีวิตประชาชน ดังนั้นประชาชนในเวลานี้ไม่จำเป็นต้องเอาใจไปทุ่มเท แค่มองห่างๆ หรือคิดว่าดูละครฉากใหญ่ก็น่าจะดีที่สุด!
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j