จับตาโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. วิชามาร วิชาเทพจะถูกนำมาสร้างเป็นวาทกรรมเด็ด โค่นคู่ต่อสู้หลังใช้สารพัดโจมตี และ ‘ไม่เลือกเราเขามาแน่’ ไม่ได้ผล ‘เทพไท เสนพงศ์’ ฟันธงเข้าสู่โหมดการเมือง 2 ขั้ว พร้อมปลุกกระแสต้องสังกัดพรรคการเมือง อ้างมีฐานเสียงมีองค์กรยอมรับ ส่งผลให้เกมพลิกจาก ‘ชัชชาติแข่งกับวิโรจน์’ โดยขั้วไม่เอาทักษิณ ทั้ง 4 คนพ่ายแพ้ เปลี่ยนเป็นคู่ต่อสู้ระหว่าง ‘วิโรจน์จากก้าวไกล และ ดร.เอ้ ค่าย ปชป.’ ขณะที่ ดร.เอ้ อาจตกสวรรค์ถ้ามีใบสั่งให้ ป.ป.ช.ฟันกรณีร่ำรวยผิดปกติ ด้านสมชัย ศรีสุทธิยากร ต้องระวังอย่าหาเสียงใส่ร้ายคู่แข่งขัน!
โค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 22 พ.ค.นี้ ต้องจับตาดูว่าบรรดาคู่แข่งแต่ละคนจะมีการใช้วิชาเทพ และวิชามารอะไรออกมาถล่มคู่แข่งขันเพื่อดันคะแนนตัวเองขึ้น และดึงคะแนนคู่ต่อสู้ลงมาได้บ้าง เพราะที่ผ่านมาจะเห็นการออกมาโจมตีคู่แข่งกันเป็นระยะๆ โดยเฉพาะ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ (อิสระ) ที่ถือว่าเป็นตัวเต็ง 1 มาตลอด ดูจะถูกโจมตีหนักหนาสาหัสพอสมควร
ตั้งแต่การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ทักษิณ-ชัชชาติ-เพื่อไทย’ และการที่เพื่อไทยเลือกส่งเฉพาะ ส.ก.แต่ไม่ส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. รวมไปถึงการโจมตีนายชัชชาติ ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.คมนาคม ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ลงนามอนุมัติให้เปิดสายการบินเอกชนประมาณ 40 สายการบินในระยะเวลาเพียง 1 ปี ซึ่งต่อมาเป็นผลให้ ICAO ปักธงแดงให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบิน
พร้อมๆ กับการปล่อยภาพคู่แชร์กันสนั่นระหว่างนายชัชชาติ กับแก๊งล้มเจ้า ไม่ว่าจะเป็นนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายรังสิมันต์ โรม และผู้ชุมนุมชู 3 นิ้ว หรือรูปกราฟิก # รักใคร ชอบใคร#ตามสะดวก ที่มีการแชร์สนั่นในโลกออนไลน์
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการปล่อยกระแสโจมตี แบ่งเค้กเก้าอี้รองผู้ว่าฯ กทม.ล้วนเป็นคนระดับแกนนำของพรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย นายภูมิธรรรม เวชยชัย นายวิชาญ มีนชัยนันท์ นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด หรือเจ๊แจ๋น ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ส.ก.ของพรรคเพื่อไทย โดยมี ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ หรือ ดร.ยุ้ย กรรมการผู้จัดการบริษัทเสนาดีเวลลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นทีมนโยบายของนายชัชชาติ เพียงคนเดียวที่เข้ามาเป็นรองผู้ว่าฯ กทม.
ส่วนนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ‘ดร.เอ้’ จากพรรคประชาธิปัตย์ ก็โดนถล่มไม่เบา โดยเฉพาะเรื่องความร่ำรวยผิดปกติ มีผู้ยื่นเรื่องผ่านคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบของสภาผู้แทนราษฎร (กมธ.ป.ป.ช.) ถึงความร่ำรวยมีทรัพย์สินถึง 342 ล้านบาท ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็นอธิการบดี สจล. อาจมีการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างบางโครงการโดยมิชอบหรือไม่
โดย ดร.เอ้ ได้แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการยื่นขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเชิงลึกของตัวเองและภริยาในประเด็นร่ำรวยผิดปกติ หลังมีผู้ร้องเรียน กมธ.ป.ป.ช.
ว่ากันว่าขบวนการขุดคุ้ยเรื่องราวที่เกี่ยวกับการได้มาซึ่งความร่ำรวยของ ดร.เอ้ ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ยังมีความพยายามส่งคนเข้าไปขุดข้อมูลเพิ่มเติมไว้ใช้เมื่อถึงคราวจำเป็นข้อมูลใหม่จะถูกนำออกมาถล่ม ดร.เอ้ ได้อีกหรือไม่?
ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคก้าวไกล ก็ถูกโจมตีเรื่องของพฤติกรรมในเชิงก้าวร้าวด่ากราด ซึ่งบรรดาผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปจะไม่ชอบการแสดงออกของนายวิโรจน์ ยังมีจุดอ่อนที่หลายคนจับตามองคือ เรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์ที่กระทบต่อสถาบัน แต่นายวิโรจน์ ยังมีจุดแข็งที่สามารถได้คะแนนจากนิวโหวตเตอร์ ที่มีจำนวนกว่า 6 แสนคน ซึ่งจะเป็นการแบ่งคะแนนนิวโหวตเตอร์กันระหว่างนายชัชชาติกับนายวิโรจน์
ขณะที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง บอกว่าเป็นผู้สมัครอิสระ ที่ดูเหมือนจะไม่มีกระแสโจมตีอะไรมากมาย จะมีเพียงก่อนหน้านี้ถูกโจมตีว่าได้รับการสนับสนุนจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นอดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ รวมไปถึงกระแสโจมตีไม่ควรเลือกเพราะดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.มานาน แต่หาเสียงว่าถ้าได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.จะทำอะไรบ้าง ก็มีกระแสโจมตีว่า ตอนที่นั่งเป็นผู้ว่าฯ กทม.ทำไมไม่ทำ พร้อมกับบอกว่าบิ๊กวิน แก่เกินไป ควรให้คนใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทนได้แล้ว
อย่างไรก็ดี ยังมี นายสกลธี ภัทธิยกุล ผู้สมัครหมายเลข 3 ที่ได้รับเสียงเชียร์จากกลุ่มคนชั้นสูง นักวิชาการที่ไม่เอาทักษิณและเครือข่าย กปปส. ซึ่งจากจุดแข็งจากแรงหนุนของ กปปส.ได้กลายเป็นจุดอ่อนในเวลาเดียวกัน โดยถูกจับโยงว่าเป็นเครือข่ายเผด็จการรัฐประหาร
นอกจากนี้ ยังมีหญิงเหล็ก เบอร์ 7 น.ส.รสนา โตสิตระกูล แม้จะมีแรงเชียร์จากแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ หรือกลุ่มคนเสื้อเหลืองก็ตาม แต่ก็มีกระแสโจมตีว่า หากเธอได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.จริง การจะผลักดันโครงการอะไรออกมาคงต้องใช้เวลาตรวจสอบว่าโปร่งใสหรือไม่? ส่งผลให้โครงการต่างๆ คงเกิดขึ้นได้ยากและใช้เวลานาน
ดังนั้นการใช้กลยุทธ์ IO : lnformation Operation ซึ่งเป็นยุทธการทางข้อมูลข่าวสารโจมตีคู่ต่อสู้ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ที่เป็นเครือข่ายสนับสนุนพรรคหรือผู้สมัครของตัวเองจะมีทั้งปล่อยข่าวลับ แพร่ข่าวลวงและข่าวบิดเบือนได้นำไปสู่ยุทธการล่าสุดคือ การแบ่งขั้วการเมืองระดับชาติในสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.อย่างชัดเจน ระหว่างขั้วที่ ‘เอาทักษิณและไม่เอาทักษิณ’
ด้วยการชูแคมเปญที่ว่า ‘ไม่เลือกเราเขามาแน่’ ซึ่งเป็นปฏิบัติการเชื่อมโยงกับการเมืองระดับชาติโดยผลักให้นายชัชชาติ และนายวิโรจน์ อยู่ในขั้วของทักษิณ ชินวัตร และขั้วไม่เอาทักษิณ จะมี ดร.เอ้ บิ๊กวิน นายสกลธี และ น.ส.รสนา
“จะเหมือนกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เมื่อปี 2556 ที่มีการเทคะแนนให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากประชาธิปัตย์ 1,256,349 คะแนน จนเบียด พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จากเพื่อไทย ที่ได้คะแนนในระดับล้านเสียง คือ 1,077,899 เสียงไปได้”
แต่ปรากฏว่าปฏิบัติการ ‘ไม่เลือกเราเขามาแน่’ หลายกระแสเชื่อว่าไม่สำเร็จ เพราะปี 2565 กับปี 2556 ย่อมมีความแตกต่างกันในเชิงข้อมูลข่าวสาร เนื่องจากโลกปัจจุบันไม่ว่าใครจะขุดอะไรโจมตีฝ่ายใดก็ตาม อีกฝ่ายก็จะสามารถขุดข้อมูลตอบโต้ภายใน 1-2 ชั่วโมงซึ่งการตอบโต้อาจไม่ได้เกิดจากทีมของคู่แข่งขันเท่านั้น แต่อาจจะเกิดจากแฟนพันธุ์แท้ของแต่ละขั้วการเมืองได้เช่นกัน
ส่งผลให้จากนี้ไปเหลือเวลาเพียงไม่ถึง 5 วัน วาทกรรมเด็ดๆ หรือยุทธการถล่มคู่ต่อสู้เพื่อให้ตัวเองชนะการเลือกตั้งนั้นจะเป็นอย่างไร
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าความพยายามจะปลุกกระแสเลือกข้างด้วยวลีเด็ดที่ว่า ‘ไม่เลือกเราเขามาแน่’ บอกได้เลยว่าไม่สำเร็จ ไม่ได้ผลแน่นอน เพราะปัจจุบันผู้สมัครแต่ละคนต่างมีแฟนคลับแฟนพันธุ์แท้ และมีเอกภาพเป็นของตัวเอง อีกทั้งภายในขั้วของตัวเองก็ไม่มีความเป็นเอกภาพร่วมกัน
“ฝั่งที่ไม่เอาทักษิณ ทั้ง พล.ต.อ.อัศวิน ดร.เอ้ สกลธี และรสนา ที่จัดอยู่ในขั้วเดียวกัน ต่างก็มีเอกภาพเป็นของตัวเอง ไม่มีความเป็นเอกภาพทางความคิดในทางยุทธศาสตร์ให้เลือกฝั่ง ปรากฏว่าทั้ง 4 คน ยังไม่มียุทธศาสตร์ในการสู้คนหนุนหลังก็ยังไม่เห็น แถมยังไม่ตกผลึกที่จะสู้กับขั้วเอาทักษิณอย่างไร”
ที่สำคัญฝั่งขั้วไม่เอาทักษิณ ไม่มีการคุยกัน และต่างคนต่างเดินกันคนละทิศคนละทาง ซึ่งมีทั้งขั้วของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กปปส. ขั้วของพรรคประชาธิปัตย์ และขั้วของพันธมิตรฯ หรือกลุ่มเสื้อเหลือง ซึ่งเห็นแล้วว่าต่างคนต่างเดิน ยุทธวิธีแบบนี้ถือว่าขั้วนี้จบแล้ว สู้ขั้วทักษิณได้ยาก
“เวลานี้จึงอยู่ที่ว่าขั้วคุณทักษิณ จะเดินเกมสู้อย่างไร ระหว่างนายชัชชาติ และนายวิโรจน์เพราะถ้าวิโรจน์ สามารถเบียดคะแนนชัชชาติขึ้นมาได้ อะไรจะเกิดขึ้น เวลานี้ผมคิดว่าขั้วคุณทักษิณ แข่งกันเองระหว่างวิโรจน์ และนายชัชชาติ”
นายเทพไท ย้ำว่า ถ้ามองกันแค่นี้ฝั่ง กปปส.สู้ไม่ได้แล้ว และฝั่งของนายทักษิณ ชนะแน่ ส่วนผู้ว่าฯ กทม.จะเป็นใครระหว่างนายชัชชาติ หรือนายวิโรจน์ เท่านั้น
ทั้งนี้ เพราะคนกรุงเทพฯ เบื่อและผิดหวังกับรัฐบาล คสช. ต่อมาถึงปัจจุบัน ทำให้คะแนนสวิงไปมา อีกทั้งคนรุนใหม่หรือนิวโหวตเตอร์ ก็หนุนพรรคก้าวไกล ทำให้ฐานเสียงของคนที่เบื่อ คสช.และเห็นด้วยกับพรรคก้าวไกล
“ฐานเสียงคนรุ่นใหม่ไปบวกกับฐานเสียงที่เอาทักษิณ" ในขณะพวกที่ไม่เอาทักษิณ กลับมีเท่าเดิมแต่เรายังไม่ถึงขั้นหมดหวังเพราะต้องดูกระแสจากนี้ไป”
สำหรับกระแส หรือวาทกรรมจากนี้ไปที่กำลังจะเกิดขึ้นจะเป็นกระแสพรรคที่ผู้สมัครฯ ผู้ว่าฯ กทม.ควรมีสังกัดจึงจะทำงานได้ดีกว่าและมีความรับผิดชอบต่อคน กทม. เพราะหากลงในนามอิสระไม่มีองค์กรใด หรือพรรคการเมืองใดมารองรับความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น เราต้องดูว่ากระแสพรรคการเมืองจะปลุกขึ้นหรือไม่
“เรื่องนี้คุณชัชชาติ หวั่นไหวได้ เพราะมีแต่หัว ไม่มีหาง ไม่มีทีม ส.ก.มารองรับ ซึ่งกระแสนี้จะเข้าสู่โหมด 2 ขั้วเหมือนเดิม ต้องเลือกพรรคก้าวไกลไปเพราะเขาส่งวิโรจน์ ลงสมัครในนามพรรค ขณะที่ขั้วไม่เอาทักษิณ ก็ต้องไปจบที่ ดร.เอ้ เพราะเขาลงครบชุด มีทีม ส.ก.พร้อม”
นายเทพไท อธิบายว่า ขั้วไม่เอาทักษิณก็ต้องสามัคคีกันเพื่อเลือกเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นและเชื่อว่าเขาจะเลือกหนุน ดร.เอ้ เพราะ ดร.เอ้ มีฐานเสียงจากพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้ว ส่วน บิ๊กวิน นายสกลธี และรสนา เป็นแค่ฐานเสียงในระดับบุคคลและหากเลือกแบบยุทธศาสตร์แล้วจะมีการเทคะแนนให้พรรคประชาธิปัตย์สูงกว่าไปเทให้ระดับบุคคล
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ (18 พ.ค.) เป็นต้นไป ผมมั่นใจว่าจะมีกระแสพรรคเกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งถ้าปลุกสำเร็จจะเป็นการแข่งกันระหว่างนายวิโรจน์กับ ดร.เอ้ โดยตรง เพราะทุกส่วนพร้อม ทีมและองค์กรการเมืองรับผิดชอบอยู่แล้ว”
ตรงนี้ต้องดูกันตั้งแต่วันที่ 18 พ.ค.นี้เป็นต้นไปและจะแรงในช่วง 3 วันสุดท้ายคือ 19-21 พ.ค.นี้ ซึ่งต้องไม่ลืมว่าถ้าสื่อโซเชียลเขย่าประเด็นสังกัดพรรคการเมือง จะทำให้เกิดแรงเหวี่ยงรุนแรงมาก และต้องไม่ลืมว่าพรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่ใช้สื่อโซเชียลเก่งที่สุด
“กระแสตีนายชัชชาติ ไม่มีอะไร เป็นแต่เรื่องเก่าๆ แต่กระแสพรรคจะทำให้เกิดจุดเปลี่ยนในช่วง 3 วันก่อนการเลือกตั้ง จะเป็นการสู้ของนายวิโรจน์ กับ ดร.เอ้”
ในส่วนของ ดร.เอ้ นั้นถึงวันนี้ยังไม่น่าจะมีประเด็นอะไรที่แหลมคมที่จะก่อให้เกิดผลกระทบจนคนไม่เลือก ทำให้คะแนน ดร.เอ้ หายไปในทันที ยกเว้นแต่ว่าก่อนการลงคะแนนเสียงวันที่ 22 พ.ค.นี้ ป.ป.ช.ออกมาชี้มูลความผิดกรณีร่ำรวยผิดปกติก็จะมีปัญหาเกิดขึ้น
“คิดว่า ป.ป.ช.ไม่น่าจะออกมาช่วงนี้ ออกมาแล้วมีปัญหาก็สะเทือนแน่ คาดว่าถ้าจะชี้มูลก็น่าจะออกมาหลังเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แล้วเสร็จ ซึ่งไม่น่าจะมีอะไรแล้ว ส่วนการชี้มูลของ กมธ.ป.ป.ช ของสภาฯ ถ้าจะมาชี้มูลอะไรก็ไม่มีน้ำหนักเท่ากับชี้มูลของ ป.ป.ช.หรือถ้าผู้มีอำนาจไปสั่ง ป.ป.ช.ให้ชี้มูลก่อนเลือกตั้งและผลตรวจสอบออกมาเป็นลบ ทุกอย่างก็จบเช่นกัน วิธีนี้คือการเตะตัดขา ดร.เอ้ และพรรคประชาธิปัตย์โดยตรง”
นายเทพไท ย้ำว่ากระแสวันนี้ คนที่ได้ที่ 1 และ 2 ก็คือนายชัชชาติ หรือนายวิโรจน์ ส่วนฝั่งที่ไม่เอาทักษิณ ก็จะได้ที่ 3, 4, 5, 6 ไล่กันไป แต่ถ้าวาทกรรมเรื่องกระแสพรรคปลุกสำเร็จ ก็จะเป็นการแข่งกันระหว่าง นายวิโรจน์ จากพรรคก้าวไกล และ ดร.เอ้ จากพรรคประชาธิปัตย์ เท่านั้น
ด้าน นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ในฐานะอดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มองว่าโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ผู้สมัครทุกคนก็ต้องพยายามนำจุดเด่นของตัวเองมาพรีเซนต์ในการหาเสียง ต้องพยายามทำให้คนกรุงเทพฯ เห็นว่าตนเองนั้นแตกต่างและดีกว่าผู้สมัครคนอื่น ขณะเดียวกัน ก็พยายามชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของผู้สมัครคนอื่น แต่ก็ต้องระวังว่าต้องไม่เป็นการใส่ร้ายคู่แข่งหรือให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ ไม่ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ
ขณะเดียวกัน เชื่อว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ไม่น่าจะมีประเด็นการทุจริตที่ชัดเจน เพราะพื้นที่การเลือกตั้งกว้าง ใครทำก็โง่ เพราะคนลงคะแนนมีเป็นล้าน แต่ถ้าเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ก็ไม่แน่ น่าจะมีการซื้อเสียงอยู่เพราะพื้นที่การเลือกตั้งแคบ
“การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งที่แล้วมีการร้องเรียนเรื่องการปราศรัยที่เป็นเท็จจากกรณีการหาเสียงของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่มาช่วยหาเสียงได้พูดโจมตีใส่ร้ายผู้สมัครฝ่ายตรงข้าม และเป็นประเด็นที่นำไปสู่การร้องเรียน ซึ่ง กกต.ได้พิจารณาให้ใบเหลืองแก่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ (แต่สุดท้ายศาลอุทธรณ์ยกคำร้องคดีที่ กกต.ให้ใบเหลืองดังกล่าว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จึงยังคงเป็นผู้ว่าฯ กทม.ต่อไป) ดังนั้น ผู้สมัครต้องระมัดระวังในการปราศรัย”
จากนี้ไปต้องติดตามการหาเสียงและยุทธวิธีโค่นคู่ต่อสู้จะออกมาเช่นไร และ 22 พ.ค.นี้ คน กทม.ที่มีสิทธิเลือกตั้งไปใช้สิทธิเพื่อให้ได้ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ที่เราต้องการมากที่สุด!
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4jvNjo/