xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนรอยลางร้าย! “5 นายกฯ” ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สารพัดลางร้ายของผู้นำประเทศ “นายกฯตู่” ผวาฝูงอีกาบุกตึกบัญชาการ ขณะที่ “ยิ่งลักษณ์” เจอต้นไม้เก่าแก่โค่นคาทำเนียบ พานศาลพระภูมิตกแตกเป็น 2 เสี่ยง หนำซ้ำภาพถ่ายคล้ายถูกแขวนคอ ด้าน “อภิสิทธิ์” ประสบทั้งลางดี-ลางร้าย ผึ้งหลวงทำรังเป็นรูปหัวใจ อีการ้องไล่ประธานสภาฯ ส่วน “นายกฯ สมัคร” ถูกศาล รธน.ตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง หลังต้นคูนประจำทำเนียบล้ม ด้าน “ทักษิณ” เจออาถรรพ์ตัวเงินตัวทองถึง 4 ครั้ง บ้างปีนขึ้นไปหาถึงตึกไทยคู่ฟ้า

ฤกษ์ยาม วันธงชัย ลางดีลางร้าย รวมถึงอาเพศต่างๆ ดูจะผูกพันกับสังคมไทยมานาน ไม่เว้นแม้แต่ในแวดวงการเมือง โดยทุกครั้งที่มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา หรือเกิดกับตัวนายกรัฐมนตรี จะมีการร่ำลือกันว่าน่าจะเป็นลางบอกเหตุว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับผู้นำประเทศ หรือสถานการณ์บ้านเมืองของไทย ส่วนว่าจะมีเหตุการณ์ใดบ้างนั้นคงต้อนย้อนไปไล่เรียงกัน

อีกานับร้อยบุกทำเนียบฯ ในสมัยรัฐบาล คสช.
“บิ๊กตู่” ดาบหล่นใส่แขน
อีกานับร้อยบุกทำเนียบ


ล่าสุด กรณีที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือเหตุการณ์ที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ถูกดาบหล่นใส่แขนระหว่างที่ถวายดาบเพื่อสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 3 มี.ค.2566 ที่ผ่านมา โดยหลายฝ่ายมองว่าเป็น “ลางร้าย” ที่ส่งสัญญาณเตือนถึงความล้มเหลวทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมายได้โพสต์ข้อความระบุว่า “เหตุอันเกิดแก่ พล.อ.ประยุทธ์ ในขณะถวายสักการะสมเด็จพระนเรศวร จนบาดเจ็บและป่วยต้องเข้าพักรักษาในโรงพยาบาล และยังพบแคลเซียมเกาะกระดูกคอ มีอนาคตที่จะเป็นอันตรายนั้น เป็นอะไร คือ เป็นนิมิต ลาง หรืออุบาทว์ ควรใส่ใจถามไถ่ผู้รู้ด้วยความไม่ประมาทเถิด ยามนี้ไม่อาจบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอบอกได้ว่า ตอนนี้ท่านมีอาการเหนื่อย หน้าตาเศร้าหมองนัก”

และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกร่ำลือว่าเกิดลางร้ายขึ้นกับ พล.อ.ประยุทธ์ โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2561 ช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาด! มีฝูงอีกาหลายร้อยตัว บินมาเกาะอยู่ที่ต้นมะขาม เลียบคลองเปรมประชากร บริเวณด้านนอกทำเนียบรัฐบาล พร้อมส่งเสียงร้องดังไปทั่ว จากนั้นฝูงอีกาได้บินโฉบเข้าไปยังตึกบัญชาการ 1 และวนมาเกาะที่ยอดตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนจะบินออกมาเกาะที่ต้นมะขามเช่นเดิม และเนื่องจากฝูงอีกาบินเข้าออกอยู่สักระยะหนึ่ง เป็นเหตุให้นกพิราบที่อยู่หน้าห้องผู้สื่อข่าวบินหนีออกไปนอกทำเนียบรัฐบาล ซึ่งบรรดาข้าราชการและสื่อมวลชนต่างวิจารณ์กันว่าอาจจะเป็นลางร้าย เป็นเหตุให้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองในขณะนั้นซึ่งมีการเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้น รวมถึงการที่นายกฯเปิดช่องทางสื่อสารผ่านโซเชียลหลายช่องทางเพื่อติดต่อกับประชาชน ซึ่งมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นทั้งดีและไม่ดีเป็นจำนวนมาก

ภาพถ่าย อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่คล้ายกำลังถูกแขวนคอ
ลางร้ายภาพ “ยิ่งลักษณ์”
คล้ายถูกแขวนคอ


และไม่ใช่แค่นายกฯ ประยุทธ์เท่านั้น อดีตนายกฯ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็เป็นหนึ่งในนายกรัฐมนตรีที่มีเหตุการณ์ซึ่งถูกมองว่าเป็นลางร้ายเกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อวันที่ 17 ก.ค.2555 ช่วงที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ เดินทางไปปฏิบัติภารกิจเยือนประเทศเยอรมนี และฝรั่งเศส ปรากฏว่าต้นกระพี้จั่นซึ่งเป็นต้นไม้เก่าแก่ประจำทำเนียบรัฐบาล ที่มีอายุราว 40 ปี และมีความสูงถึง 10 เมตร ซึ่งอยู่บริเวณข้างห้องผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล หรือที่เรียกว่ารังนกกระจอกเก่า ใกล้กับตึกนารีสโมสร ได้หักโค่นลงมา โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความฮือฮา และมีการตั้งข้อสังเกตไปต่างๆ นานา รวมทั้งวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจเป็นอาถรรพ์ หรือเป็นลางร้ายกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์

ต่อมา วันที่ 30 ก.ค.2555 ช่วงเช้าก่อนที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะเดินทางไปเป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรบนหลังช้าง ที่อนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ได้เกิดเหตุการณ์ชายสติไม่สมประกอบ ได้เข้าไปหยอกล้อเล่นกับช้าง แต่ถูกช้างใช้งวงรัดแล้วโยนขึ้น จึงร่วงลงมากระแทกพื้น พร้อมเข้ากระทืบซ้ำ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าอาจเป็นลางร้ายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์

ตามด้วย วันที่ 24 ต.ค.2555 ขณะที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ได้เรียกรัฐมนตรีและผู้ที่คาดว่าจะได้เป็นรัฐมนตรีในการปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 เข้าหารือที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ปรากฏว่าได้มีเมฆมืดครึ้มดำทะมึนปกคลุมไปทั่วบริเวณ และมีลมกระโชกแรง จนทำให้พานทองที่ศาลพระภูมิบริเวณสนามหญ้าด้านประตู 1 ทำเนียบรัฐบาล หน้าห้องทำงานผู้สื่อข่าว หรือรังนกกระจอกเก่า ซึ่งอยู่บริเวณทางเชื่อมระหว่างตึกไทยคู่ฟ้า ที่จะเดินมาตึกบัญชาการ 1 ล้มคว่ำตกลงมาจากศาล ส่งผลให้พานดังกล่าวแตกออกมาสองเสี่ยง พร้อมกันนี้ ขวดน้ำแดงที่นำมาสักการะก็ถูกลมพัดหกกระจายไปทั่ว ทำให้สื่อมวลชนตั้งข้อสังเกตว่า ปรากฏการณ์นี้จะเป็นลางร้ายกับรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ เนื่องจากเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีที่ยังไม่ลงตัว และต่อมาช่วงปลายเดือน ต.ค.2556 ได้เกิดการชุมนุมใหญ่เพื่อคัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ซึ่งเป็นแรงกดดันให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ต้องประกาศยุบสภา ในวันที่ 9 ธ.ค.2556 โดยคณะรัฐมนตรียังคงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรักษาการต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

แต่ที่น่าตกใจที่สุดเห็นจะเป็นเหตุการณ์ที่มีผู้โพสต์ภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะรักษาการนายกฯ ขณะกำลังทำความเคารพพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 หน้าบึงพลาญชัย อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด เนื่องในโอกาสที่เดินทางไปตรวจราชการที่จังหวัดร้อยเอ็ด ในวันที่ 19 ธ.ค.2556 เนื่องจากภาพดังกล่าวทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าเหมือน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กำลังถูกแขวนคอ เพราะยืนซ้อนอยู่กับเสาไฟส่องสว่างด้านหลังพอดิบพอดี แสดงให้เห็นถึงลางไม่ดีของรักษาการรัฐบาลในขณะนั้น ซึ่งอีกไม่กี่เดือนต่อมา คือวันที่ 7 พ.ค.2557 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเอกฉันท์ถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีที่มีส่วนใช้อำนาจแทรกแซงการโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี จากตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และแต่งตั้ง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในขณะนั้น ให้ดำรงตำแหน่งเลขาฯ สมช.แทน เพื่อเปิดทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขึ้นเป็น ผบ.ตร.

ผึ้งหลวงทำรังเป็นรูปหัวใจในทำเนียบฯ สมัย นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ยุค “อภิสิทธิ์” มาหมด
ทั้งอีกา-ผึ้ง-ตัวเงินตัวทอง


ส่วนลางดี-ลางร้ายในยุค นายกฯ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ดูจะข้องเกี่ยวกับสารพัดสรรพสัตว์ โดยเมื่อวันที่ 19 ก.พ.2552 ขณะที่มีการประชุมสภา ได้มีฝูงอีกากว่า 20 ตัว บินว่อนและส่งเสียงร้องดังสนั่นอยู่ตรงข้ามห้อง นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าอาจเป็นลางร้าย หรืออาจจะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกครั้ง

ต่อมา วันที่ 9 มี.ค.2552 ได้มีฝูงผึ้งหลวงบินมาเกาะทำรังอยู่ที่กิ่งต้นลีลาวดี ภายในทำเนียบรัฐบาล โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถสร้างรังเป็นรูปหัวใจดวงโต อีกทั้งผึ้งหลวงไม่ได้แสดงอาการตกใจกับผู้คนที่มารุมล้อมสังเกตการณ์ ขณะที่บรรดาข้าราชการทำเนียบจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี และเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมงคล เนื่องจากคติโบราณระบุว่า ผึ้ง เป็นสัตว์นำโชคลาภมาให้ และส่วนใหญ่ผึ้งมักทำรังตามต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ในที่สงบ อย่างไรก็ตาม ช่วงหนึ่งได้มีอีกาบินมาวนดูรังผึ้ง และทำท่าจะโฉบลงไปอีก ทำให้ฝูงผึ้งส่วนหนึ่งแตกฮือบินเข้ารุมต่อยอีกาจนบินหนีไป ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก

จากนั้น วันที่ 27 ส.ค.2552 ทำเนียบรัฐบาลได้เกิดเหตุการณ์แปลกๆ โดยมีกลิ่นเน่าเหม็นคล้ายซากสัตว์ตายโชยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณอาคารผู้สื่อข่าวหลังใหม่ และพบว่ามีซากตัวเงินตัวทองขนาดใหญ่ ความยาวกว่า 2 เมตร ตายอยู่ในท่อระบายน้ำ ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจเป็นลางร้ายเตือนรัฐบาล เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้มาก่อน เพราะปกติตัวเงินตัวทองจะสามารถเดินหากินอยู่ในท่อระบายได้อยู่แล้ว

ต้นคูนประจำทำเนียบรัฐบาลล้ม ถือเป็นลางร้ายของ รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช
ช่วงนายกฯ “สมัคร” ต้นคูนล้ม
ตัวเงินตัวทองผสมพันธุ์


ขณะที่ยุค นายกฯ “นายสมัคร สุนทรเวช” ก็มีลางร้ายเกิดขึ้นเช่นกัน โดยวันที่ 6 มี.ค.2551 ได้เกิดเหตุตัวเงินตัวทองบุกรัฐสภา โดยตัวเงินตัวทองรุ่นหนุ่มตัวยาว 1 เมตร ได้หลุดเข้าทางประตูด้านข้างของอาคารรัฐสภา 1 ซึ่งตามปกติประตูด้านนี้จะถูกปิดตาย จากนั้นตัวเงินตัวทองก็วิ่งเข้าไปตรงตู้จดหมายของ ส.ส. ซึ่งเป็นบริเวณห้องทำบัตรประจำตัว ส.ส. และใช้เท้าตะกายตู้ พร้อมกับส่งเสียงขู่ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ตัวเงินตัวทองบุกเข้าไปภายในตัวอาคารรัฐสภา โดยที่ผ่านมา จะอยู่แค่ภายนอกอาคาร หรือบริเวณบ่อปลาคราฟเท่านั้น ข้าราชการจึงวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าอาจเป็นลางร้ายทางการเมือง

จากนั้น วันที่ 9 ก.ค.2551 ก็มีลางร้ายเกิดขึ้นอีกครั้ง โดยต้นคูนซึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่คู่ทำเนียบรัฐบาล ได้ล้มลงทั้งรากทั้งโคน ขณะที่นายกฯ สมัคร กำลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า เหตุดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบฯ ต่างผวาไปตามๆ กันว่าอาจเป็นลางบอกเหตุอาเพศ ซึ่งในวันเดียวกันศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยชี้ขาดให้ นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พ้นจากตำแหน่ง ทั้งนี้ต้นคูนดังกล่าวได้นำมาปลูกในช่วงที่ นายยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งต้องการปรับภูมิทัศน์ภายในทำเนียบรัฐบาล ช่วงการประชุมเอเปก

ต่อมา วันที่ 25 ก.ค.2551 ได้มีตัวเงินตัวทอง 2 ตัว ผสมพันธุ์กันอยู่ในคลองหลังตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ซึ่งอยู่ติดกับห้องที่ใช้ประชุม ครม.พอดี โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นเวลานานกว่า 1 ชั่วโมง ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ต่างๆ นานา โดยเฉพาะการวิจารณ์ถึงความแตกแยกในสังคมไทยที่มีต้นตอมาจากความเห็นต่างทางการเมืองซึ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ถึงขั้นม็อบตีม็อบ ทั้งที่ จ.อุดรธานี และ จ.บุรีรัมย์

และไม่ว่าลางร้ายดังกล่าวจะมีจริงหรือไม่ แต่ในวันที่ 9 ก.ย.2551 ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้วินิจฉัยให้นายสมัคร สิ้นสุดจากการเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากมีการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ จากกรณีเป็นพิธีกรกิตติมศักดิ์ของรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขยง 6 โมงเช้า”

ตะกวดบุกตึกไทยคู่ฟ้า สมัย นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
ตัวเงินตัวทองเหิมหนัก
สมัย “ทักษิณ”


และที่จะขาดเสียมิได้คือลางร้ายที่เกิดขึ้นในช่วงการบริหารงานของอดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย อย่าง “นายทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งน่าแปลกที่ล้วนแต่เป็นลางร้ายซึ่งเกิดจากฤทธิ์เดชของตัวเงินตัวทองทั้งสิ้น เริ่มจากวันที่ 9 ธ.ค.2546 ได้เกิดความแตกตื่นขึ้นที่บริเวณโรงจอดรถ ภายในทำเนียบรัฐบาล เนื่องจากมีตัวเงินตัวทอง ความยาวประมาณ 2 เมตร วิ่งขึ้นจากท่อระบายน้ำมุ่งหน้าไปตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งเป็นห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ข้าราชการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก เพราะถือเป็นครั้งแรกที่ตัวเงินตัวทองเข้ามาในทำเนียบรัฐบาล หลังจากที่ได้มีการปรับปรุงอาคารขึ้นมาใหม่

ต่อมา วันที่ 20 เม.ย.2548 ระหว่างที่มีการประชุมสภาได้มีตัวเงินตัวทองความยาวประมาณ 1 เมตร โผล่ขึ้นมาบริเวณร้านอาหารข้างลานจอดรถ และได้พยายามขึ้นไปยังลานจอดรถชั้น 2 ของรัฐสภา แต่ไม่สำเร็จ เพราะตื่นผู้คนและช่างภาพสื่อมวลชน ทำให้พ่อค้าแม่ค้า และเจ้าหน้าที่รัฐสภาต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่าตั้งแต่เปิดสภาฯ ในยุครัฐบาลทักษิณ ได้มีตัวเงินตัวทองโผล่ขึ้นมาบ่อยมาก

และในเวลาบ่าย 3 โมง ของวันเดียวกัน ขณะที่นายกฯ ทักษิณ นั่งทำงานอยู่บนชั้น 2 ของตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ปรากฏว่ามีลูกตัวเงินตัวทองขนาด 1 ฟุต ปีนตามผนังตึกขึ้นไปที่ชั้น 2 ฝั่งตรงข้ามกับห้องที่นายกฯ ทำงาน และเกาะอยู่ที่ผนังตึกด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า สูงจากพื้นดินประมาณ 3 เมตร โดยใช้เวลาเกาะนานกว่า 30 นาที จนกระทั่งใกล้เวลาที่นายกฯ จะลงจากตึก คนสวนของทำเนียบฯ จึงปีนขึ้นไปใช้ไม้ไล่ แต่ตัวเงินตัวทองพยายามปีนหนีขึ้นไปบนชั้น 2 ของตึก แต่หนีไม่พ้น ถูกเขี่ยลงมาบนพื้นดิน

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวได้มีหมอดูชื่อดังออกมาเตือนว่า “ นี่คือลางไม่ดี รัฐบาลและท่านนายกฯ จะมีเรื่องร้ายเก่าๆ กลับมาสร้างปัญหาหรือคลื่นใต้น้ำจากบริวาร คนรอบข้างจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก”

จากนั้น วันที่ 21 มิ.ย.2548 หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม ครม. มีตัวเงินตัวทอง ขนาดยาวประมาณ 1.2 เมตร หลุดเข้าไปในบริเวณโรงจอดรถประจำตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นอีกประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง ได้มีตัวเงินตัวทองอีกตัว ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าตัวแรกมุดเข้ามาในทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง แล้ววิ่งเข้าไปหลบที่ใต้ท้องรถยนต์ประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี ประมาณ 5 นาที ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้พบเห็น ทั้งผู้สื่อข่าว และเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบว่าอาจเป็นลางบอกเหตุทางการเมืองอะไรบางอย่างก็เป็นได้

ซึ่งในช่วงปลายปี 2548 ได้เกิดการชุมนุมประท้วงขับไล่นายกฯ ทักษิณ โดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เนื่องจากข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและการฉ้อราษฎร์บังหลวง โดยมีการชุมนุมอย่างต่อเนื่องและขยายตัวในวงกว้างไปยังบุคคลหลากหลายสาขาอาชีพในเวลาต่อมา ส่งผลให้นายกฯ ทักษิณ ประกาศยุบสภาในวันที่ 24 ก.พ.2549 และจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย.2549 แต่ท้ายที่สุดการเลือกตั้งดังกล่าวก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้เป็นโมฆะเนื่องจากมีปัญหามากมาย และได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 15 ต.ค.2549 โดยมีรัฐบาลทักษิณ เป็นรัฐบาลรักษาการ ต่อมาวันที่ 19 ก.ย.2549 คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะ ได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจ ขณะที่รักษาการนายกฯ ทักษิณ อยู่ระหว่างการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก

และตลอดเวลา 16 ปีที่ผ่านมา อดีตนายกฯ ทักษิณได้กลับมาเหยียบแผ่นดินไทยเพียงครั้งเดียว คือเมื่อวันที่ 28 ก.พ.2551 อีกทั้งก่อนหน้านั้น คือเมื่อปี 2546 อาจารย์ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ซินแสชื่อดัง เคยทำนายดวงของทักษิณ ว่า “จะไม่มีแผ่นดินอยู่” จึงกล่าวได้ว่าทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีที่ถูกเคราะห์ซ้ำกรรมซัดมากที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว!




กำลังโหลดความคิดเห็น